เอกชนเสนอรัฐเปิดประเทศแบบจัดเต็ม

.เดินหน้าจัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วประเทศ
.หวังผลสร้างเม็ดเงินโค้งสุดท้ายดันจีดีพีโต 1.5%
.จี้รัฐเจรจาประเทศปลายทางไม่กักตัวนักท่องเที่ยวหลังกลับจากไทย

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน  (กกร.) เปิดเผยภายหลังการประชุม กกร. ประจำเดือนพ.ย.64 ว่า ที่ประชุมหารือถึงการเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมาซึ่งเห็นตรงกันว่า ช่วยหนุนเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ และประชาชนในการอยู่ร่วมกับโควิด-19 โดยขณะนี้ ทั้งคนไทย และต่างชาติอยากเที่ยวแล้ว เห็นได้จากการค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการเดินทางในจังหวัดท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้น อีกทั้งคาดการณ์อัตราการเข้าพักที่ผู้ประกอบการโรงแรมมองว่า จะขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ในเดือนพ.ย. เทียบกับ 15% ในเดือนก.ย.

“เอกชนขอให้ภาครัฐเปิดประเทศแบบจัดเต็ม ด้วยการจัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วประเทศ ทั้งงานลอยกระทง และปีใหม่ เพราะจะช่วยสร้างเม็ดเงิน และทำให้เศรษฐกิจปีนี้เติบโตได้ 1.5% แต่ถ้าเปิดๆ ปิดๆ จัดกิจกรรมไม่ครอบคลุมทั้งประเทศ ก็จะไม่เป็นผลดีต่อผู้ประกอบการ เพราะบริหารและคำนวณต้นทุนการทำธุรกิจได้ยาก นอกจากนี้ ยังจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม แต่ภาครัฐควรเร่งเจรจากับประเทศต่างๆ ไม่ให้กักตัวผู้เดินทางที่กลับจากไทย เพื่ออำนวยความสะดวก และทำให้เค้าอยากมาไทยมากขึ้น  ซึ่งจะช่วยให้ภาคการท่องเที่ยว ในปีหน้ากลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น” นายสนั่น กล่าว 

นายสนั่น กล่าวต่อว่า กกร.ยังมีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก และการขาดแคลนวัตถุดิบบางชนิด จนส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของภาคเอกชน ทั้งการผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายในประเทศ และเพื่อส่งออก รวมถึงยังกระทบต่อต้นทุนการขนส่ง ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน กระทรวงพาณิชย์  (กรอ.พาณิชย์) ในเร็วๆ นี้ จะเสนอเรื่องดังกล่าว เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์รับทราบข้อเท็จจริง และส่งสัญญาณที่ชัดเจน เรื่องการปรับราคาขายสินค้าบางรายการ ที่ได้รับผลกระทบสูง เช่น เหล็ก ปูนซีเมนต์ โลหะ กระดาษ เคมีภัณฑ์ เป็นต้น 

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังเร่งให้ภาครัฐมีความชัดเจนในการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) ซึ่งภาคเอกชนได้ส่งผลการศึกษาของภาคเอกชนให้ภาครัฐและภาคประชาสังคมไปแล้ว เพื่อเร่งให้ไทยเข้าร่วมเจรจา เพราะหากช้า จะทำให้เสียโอกาส และไทยยังต้องเพิ่มการเจรจาต่อรองตามเงื่อนไขของประเทศอื่นที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกก่อนไทยด้วย ดังนั้น ต้องหารือร่วมกันทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกประเทศ 

ด้านนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการเปิดประเทศคือ ความเชื่อมั่นประชาชน ซึ่งต้องเปิดประเทศให้ได้อย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าจะเปิดแล้วปิด จะสร้างความสับสนให้กับประชาชน และผู้ประกอบธุรกิจเ มีผลทำให้เกิดความยากลำบากในการวางแผนใช้ทรัพยากรขององค์กร เป็นภาระต้นทุน และยอมรับว่า โครงสร้างระบบเศรษฐกิจต้องเร่งบูรณาการเพิ่มทักษะ รองรับการก้าวเข้าสู่โลกที่ไม่เหมือนเดิมได้อย่างไร

 ส่วนนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า  การเปิดประเทศของรัฐบาล อยากให้รัฐ กระตุ้นการจัดกิจกรรม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น จัดวันลอยกระทง ซึ่งแต่ละกิจกรรมให้อยู่ภายใต้ระบบการป้องการตามมาตรฐานสาธารณสุข รวมถึงการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ให้มีเงินลงทุน รองรับเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัว โดยเสนอให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ขยายวงเงินค้ำประกันให้แก่ลูกหนี้ของธนาคารเป็น 70% จากเดิมอยู่ที่ 40% เชื่อว่า หากจัดกิจกรรม และเพิ่มสภาพคล่องให้เอสเอ็มอีได้ จะผลักดันให้เศรษฐกิจปีนี้ ขยายตัวได้ 1.5% แน่นอน