“เศรษฐา” จี้รัฐอย่าชักช้า! คนไทยต้องได้วัคซีนเพียงพอ รวดเร็ว เท่าเทียม ไม่มีข้อยกเว้น

  • เร่งฟื้นความเชื่อมั่นประชาชนและต่างชาติ
  • ออกมาตการดึงดูดการลงทุนต่างๆ

นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ได้เขียนบทความเรื่อง “ประชาชนไทยต้องเข้าถึงวัคซีนอย่างเพียงพอ รวดเร็ว เท่าเทียม เสมอภาค ไม่มีข้อยกเว้น” โดยรายละเอียดมีดังนี้

ผมเพิ่งเขียนบทความล่าสุดว่าด้วยเรื่องของการนำเสนอมุมมองของผมให้รัฐบาลและทุกภาคส่วนช่วยกันพิจารณาว่ามีอะไรบ้างที่เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ข้างหน้าต่อไป ถ้าสนใจลองไปหาอ่านกันดูที่ https://thejournalistclub.com โดยเรื่องแรกที่ผมยกขึ้นมาให้ความสำคัญมากที่สุดคือเรื่องของที่ประชาชนไทยต้องเข้าถึงวัคซีนอย่างเพียงพอ รวดเร็ว เท่าเทียม เสมอภาค ไม่มีข้อยกเว้น

ธนาคารโลกบอกว่าเศรษฐกิจของโลกปีนี้อาจจะฟื้นตัวและเติบโตได้ถึง 5.6% จากปีก่อน แต่ภาพของการฟื้นตัวนี้จะเป็นในรูปแบบ K-shaped ทางสองแพร่งที่ยิ่งมีช่องว่างห่างกันไปเรื่อยๆ อย่างที่เราเคยได้ยินกันกล่าวคือ ประเทศที่ฟื้นตัวได้ดีจะเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวก็จะยิ่งดิ่งลง ทีนี้จากการศึกษาของนิตยสาร The Economist เค้าบอกว่าปัจจัยสำคัญที่ส่งผลอย่างชัดเจนว่าประเทศนั้นๆ จะฟื้นตัวได้หรือไม่ได้ เศรษฐกิจจะเติบโตหรือดิ่งเหวก็คือ “สัดส่วนของประชากรที่ได้รับวัคซีน” นั่นเอง

ถ้าดูแผนภาพนี้ จะเห็นว่าในกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 10 ประเทศที่มีสัดส่วนประชากรได้รับวัคซีนสูงที่สุด (อย่างน้อย 1 เข็ม) ถูกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตเฉลี่ย 5.5% อย่างน้อย ในขณะที่ 10 อันดับประเทศที่ได้รับวัคซีนในสัดส่วนประชากรที่น้อยที่สุดเศรษฐกิจจะโตแค่ 2.5% เท่านั้น และลองดูในกราฟดีๆ จะเห็นว่าไทยเราเองอยู่มุมล่างซ้ายใกล้ๆ กับแองโกล่า ประเทศในกลุ่มอาฟริกาใต้ซาฮาร่าที่ GDP เค้าเล็กกว่าเราตั้ง 5 เท่ากว่าน่ะครับ
จริงๆ ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะมองภาพให้ออก ถ้าอัตราการเข้าถึงวัคซีนสูง ภูมิต้านทานองค์รวมประชากรสูงขึ้นก็จะมีโอกาสที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ จะกลับมาเป็นปกติ

อีกทั้งถ้าอัตราการเข้าถึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่อเนื่อง ความเสี่ยงก็จะยิ่งลดลงๆ ทวีคูณตามไปด้วย ยิ่งทำให้การเติบโตและการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจมั่นคงขึ้นต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทวีคูณเช่นกัน

ที่น่าสนใจมากๆ และน่าเป็นห่วงสำหรับไทยเราคือ Goldman Sachs ให้ความเห็นว่าในช่วงเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า ประเทศที่จะถีบตัวแซงคนอื่นคือประเทศกำลังเดินหน้าฉีดวัคซีนให้ประชาชนในอัตราที่สูงแต่ยังไม่ผ่อนปรนมาตรการล็อคดาวน์ แต่เมื่อรัฐบาลพอใจกับสัดส่วนผู้ได้วัคซีนและประกาศผ่อนปรนเมื่อไหร่ล่ะก็ ประเทศนั้นๆ จะมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นแน่นอนจากการที่กิจกรรมต่างๆ ถูกอั้นมานาน

อันนี้ต้องมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยเรา พวกกลุ่มประเทศที่เค้ามีสัดส่วนการฉีดวัคซีนชนะเราขาดไปแล้วและเริ่มมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเติบโตไม่ต้องไปมองแล้วครับ เค้าทิ้งเราไปแน่ แต่พวกประเทศที่กำลังสะสมสัดส่วนผู้ได้วัคซีนในอัตราที่สูงกว่าไทยเรานี้แหละที่น่ากลัว เมื่อใดที่สัดส่วนคนได้รับวัคซีนเค้าถึงจุดเหมาะสมเพียงพอที่รัฐบาลเค้าจะประกาศผ่อนปรนแซงหน้าเราเมื่อไหร่ล่ะก็ รับรองได้ว่าประเทศเหล่านี้เศรษฐกิจติดสปริงโหนกระแสทิ้งห่างเราแน่นอน ยิ่งถ้าเราช้าก็จะยิ่งโดนประเทศพวกนี้แย่งชิงโอกาสทางการเติบโตเศรษฐกิจไป ดังนั้นถ้าเราจะไม่ตกขบวนรถไฟนี้หนีไม่พ้นต้องรีบฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุดครับ

ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องของวัคซีนในฐานะปัจจัยสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแล้วก็อดไม่ได้ที่จะและเพิ่มเติมเรื่องของปัจจัยอื่นๆ ที่จะช่วยเสริมแรงด้วย เพราะวัคซีนอย่างเดียวคงไม่พอ
รัฐบาลต้องเตรียมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่จะช่วยให้เกิดการจัดซื้อ จัดจ้าง การจ้างงานปริมาณมหาศาลตามมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อมีการลงทุนก็ต้องมีแหล่งเงิน จริงไหมครับ ก็เป็นเรื่องของการรีบเดินหน้ากู้เงินก่อนที่คนอื่นดูดเงินในระบบไปหมดเสียก่อน วงเงิน 1.5 ล้านล้านบาทที่ขอไว้ก็เดินหน้าต่อพร้อมกับขยายสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP (ปัจจุบันอยู่ที่ 60%) และรวมถึงเรื่องการปรับโครงสร้างการเก็บภาษี อย่างเช่นควรมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากผู้ที่มั่งคั่งกว่าในรูปแบบต่างๆ ให้เกิดภาวะการเงินสมดุลของประเทศ

อีกสองเรื่องที่เป็นองค์ประกอบของ GDP เราเยอะก็คือเรื่องสินค้าเกษตรและการท่องเที่ยว อยากให้กลับไปพิจารณาเรื่องการพยุงราคาสินค้า หรือจะเรียกว่าประกันราคาสินค้า สำหรับสินค้าเกษตรก็จำเป็น ในขณะที่ก็ต้องเร่งแก้ปัญหาการบินไทยให้จบ จัดการปรับโครงสร้างหนี้ ปรับองค์กร ให้จบ รีบปลดล็อคสายการบินประจำชาติของเราให้มีประสิทธิภาพที่จะนำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยโดยเร็ว เตรียมรับการฟื้นตัวตลาดท่องเที่ยว

สุดท้าย ความเชื่อมั่นในสายตาประชาชนไทยและต่างชาติก็ต้องพิจารณา การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาสู่ระบบการเมืองในสายตาประชาชนทั้งไทยและเทศ และเรื่องมาตการดึงดูดการลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษีหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ สำหรับบริษัทที่จะเข้ามาลงทุน จากที่เค้าอั้นกันมาเกือบ 2 ปี ตอนนี้ต้องช่วงชิงแข่งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดฯ และสิงคโปร์ที่กำลังแซงเราไปแล้ว

ฝากไว้ด้วยครับสำหรับรัฐบาล อย่าชักช้าเดี๋ยวพวกเราทุกคนจะหมดลมกันไปก่อน