เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ครบรอบ 25 ปี เปิดวิสัยทัศน์ Major 5.0 เน้นนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็ม ตั้งเป้าโรงหนัง 1,200 โรง มีสาขาครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ในปี 2025

  • เปิดวิสัยทัศน์ Major 5.0 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ครบรอบ 25 ปี
  • เน้นนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็มการให้บริการ
  • ธุรกิจสตริมมิ่งเติบโตนำโดยเน็ตเฟลิกซ์ ไม่กระทบธุรกิจโรงภาพยนตร์
  • ตั้งเป้ามีโรงหนัง 1,200 โรง มีสาขาครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ในปี 2025
  • พร้อมชูนโยบาย “Green Cinema” เน้นดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เดินหน้าสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนฉลองครบรอบ 25 ปี เปิดวิสัยทัศน์ Major 5.0 เน้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาเติมเต็มการให้บริการมากขึ้น เพื่อรองรับ Digital Lifestyle Consumer และเพิ่มประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์ให้ง่ายขึ้น เร็วกว่า และสมบูรณ์แบบมากขึ้น ตั้งเป้ามีโรงภาพยนตร์ทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศ CLMV 1,200 โรง มีสาขาครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ในปี 2025 พร้อมชูนโยบาย “Green Cinema” เน้นดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม



นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาของการดำเนินธุรกิจผ่านมา 24 ปี และกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 25 ในปี 2020 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ภาคภูมิใจตลอดช่วงเวลากว่า 2 ทศวรรษของเราก็คือ การได้รับการยอมรับยกย่องให้เป็นโรงภาพยนตร์ระดับเวิลด์คลาสที่ได้มอบประสบการณ์บันเทิงที่ดีที่สุดให้กับคนไทย และเป็นแกนหลักในการสร้างมาตรฐานใหม่ของธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่ไม่เคยหยุดคิด ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาองค์กรและอุตสาหกรรมให้เติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศ CLMV โดยได้ปรับเปลี่ยนองค์กรมาตลอดเพื่อให้สอดรับกับกระแสของการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในโลกยุคดิจิทัล

ตลอดการทำธุรกิจในช่วงกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา หัวใจสำคัญของความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้น มาจากการเข้าถึงและเข้าใจลูกค้า โดยพร้อมที่จะทำให้ลูกค้ามีความสะดวกที่จะเข้ามาหาเพื่อซื้อความสุขความบันเทิงได้ง่าย ๆ สะดวก และตลอดเวลา ด้วยการนำเอานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ล้ำสมัยเข้ามาให้ลูกค้าได้สัมผัสก่อนใครเป็นแห่งแรกเสมอ ตั้งแต่ โรงภาพยนตร์ ไอแมกซ์ จอยักษ์ 3 มิติ, 4DX, Screen X, LED Cinema Screen, Esports, Kids Cinema, ระบบฉายแบบดิจิทัล, ระบบฉายแบบเลเซอร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น Movie Experience การชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกและอรรถรสที่แตกต่างจากการชมภาพยนตร์ผ่านช่องทางอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง ทั้งจาก ภาพ เสียง และบรรยากาศเสมือนเข้าไปอยู่ในหนัง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอย่างแท้จริง

นายวิชา เสริมอีกว่า ในโอกาสครบรอบ 25 ปีของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ในครั้งนี้ เราพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ ดังนี้

• นโยบาย Major 5.0 ที่มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาเติม

เต็มในการให้บริการมากขึ้น โดย เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ถือเป็นโรงภาพยนตร์รายแรกของโลกที่ขับเคลื่อนธุรกิจที่มีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาให้บริการลูกค้าตลอด 24 ปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่การขายตั๋วผ่านตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ E Ticket แล้วพัฒนาต่อเป็น Seamless Ticket โดยมอบประสบการณ์การซื้อผ่านแอพได้ตั๋ว นำมาสแกนที่ตู้แล้วเดินเข้าโรงภาพยนตร์ได้ทันที นอกจากนี้ ยังพัฒนาระบบ AI&ML เป็นระบบ Movie Recommendation Engine เพื่อส่งมอบโปรโมชั่นที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น เป็น One-on-One offering เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าที่แตกต่างกัน ตลอดจน การเปลี่ยนเป็น Cashless ด้วยการให้บริการบัตรเงินสด M Cash และขยายฐานการขายตั๋วผ่านพาร์ทเนอร์ ทุกธนาคาร และระบบเพย์เมนต์ต่าง ๆ เช่น ทราเวลโลก้า, ไลน์, แกร็บ, แอร์เพย์, บลูเพย์, ทรูมันนี่ พร้อมเปิดรับสมัครสมาชิกบัตร M Generation และยังเดินหน้าพัฒนาแอพให้เป็น Super Application เพื่อเป็นช่องทางการขายตั๋วผ่าน Mobile Ticketing จากนี้ Digital Lifestyle ด้านการชมภาพยนตร์ การซื้อตั๋วหนัง จะง่ายขึ้น เร็วกว่า และสมบูรณ์แบบมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้นำเอา โรงภาพยนตร์ ไอแมกซ์ จอยักษ์ 3 มิติ เข้ามาให้คนไทยได้สัมผัสมาแล้วกว่า 20 ปี ต่อด้วย โรงภาพยนตร์ 4DX แห่งแรกของไทย ที่มอบประสบการณ์แห่งความสุข สนุก และความมันส์ ให้กับลูกค้าได้สัมผัสด้วยเอฟเฟกต์พิเศษถึง 16 ชนิด ซึ่งจะทำให้ผู้ชมได้รับอรรถรสประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างในการชมภาพยนตร์ อาทิ การขยับของเก้าอี้ตามฉากในภาพยนตร์ ขึ้น-ลง หน้า-หลัง และซ้าย-ขวา, แรงสั่นสะเทือน, สะกิดขา-สะกิดหลัง, ละอองน้ำ, ฝน, พายุฝน, หิมะ, ฟองสบู่, หมอก, ฟ้าแลบ, กลิ่น, ลม, ลมปะทะ และพายุหมอก รวมไปถึงระบบฉายแบบดิจิตอล 3 มิติ พร้อมแว่นสามมิติบางเบาที่เพิ่มความตื่นเต้นให้กับการชมภาพยนตร์ ตามมาด้วย โรงภาพยนตร์ Screen X ครั้งแรกกับสุดยอดเทคโนโลยีโรงภาพยนตร์แห่งอนาคตในเมืองไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ใช้ระบบการฉาย 3 ทิศทาง ด้วยเครื่องฉายถึง 9 ตัว ประสบการณ์ใหม่ของการชมภาพยนตร์แบบเต็มอรรถรส 270 องศา

อีกทั้งยังมีการนำเอา LED Cinema Screen สุดยอดเทคโนโลยีจอภาพแอลอีดีมาใช้ฉายภาพยนตร์ให้ชมกัน ด้วยคุณสมบัติพิเศษเหนือระดับด้วยความละเอียดของจอภาพระดับ 4K ที่ให้ความคมชัดและสว่างกว่าโรงภาพยนตร์ทั่วไปถึง 10 เท่า ซึ่งไม่ต้องอาศัยเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ พร้อมด้วยการต่อยอดธุรกิจโรงภาพยนตร์ให้เป็นมากกว่าโรงภาพยนตร์กับ โรงภาพยนตร์ Esports แห่งแรกในโลก เป็นโรงภาพยนตร์แบบผสมผสาน Mixed-use ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งการจัดฉายภาพยนตร์และจัดกิจกรรมด้านอีสปอร์ต ตลอดจน ได้สร้างสรรค์ให้เกิด Kids Cinema โรงภาพยนตร์เด็กแห่งแรกในเมืองไทย ที่พร้อมให้สัมผัสประสบการณ์การชมภาพยนตร์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ และความสนุกสนานไปพร้อม ๆ กันแบบเฉพาะกลุ่มอย่างเป็นส่วนตัว ที่ให้บริการเครื่องเล่น Playland ดินแดนแห่งความสุข พร้อมบ่อลูกบอลหลากสีสัน และสไลเดอร์ ไว้ให้เด็ก ๆ ได้เล่นก่อนชมภาพยนตร์ มีเก้าอี้สีสันแนวลูกกวาด ที่สร้างบรรยากาศความสดใสให้กับโรงภาพยนตร์

ณะที่ในปี 2020 ที่จะถึงนี้ ยังมีการนำเอาเทคโนโลยีล่าสุดของการฉายภาพยนตร์ด้วยระบบ GIANT LASER SCREEN หรือ GLS ก้าวต่อไปของโรงภาพยนตร์ในคอนเซ็ปต์เปลี่ยนโรงภาพยนตร์ที่ ใหญ่ที่สุดเป็นโรงที่ดีที่สุด ด้วยระบบการฉายภาพแบบ Laser Projector จากแบรนด์ระดับโลกอย่าง Christie ซึ่งมีชื่อเสียงในวงการโรงภาพยนตร์มายาวนานว่า 90 ปี รองรับความคมชัดของภาพสูงสุดถึง 4K หรือ 8 ล้านพิกเซล ภาพที่สวยงามมากขึ้นจะถูกฉายลงบนจอภาพขนาดใหญ่พิเศษที่สูงเทียบเท่าตึก 3 ชั้น อีกทั้ง ยังถูกติดตั้งแบบเต็มพื้นที่ด้านหน้าของโรงภาพยนตร์แบบผนังสุดผนัง พื้นสุดเพดาน เต็มตาอลังการเหมือนฉากในภาพยนตร์กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า นอกจากระบบภาพที่ดีที่สุดแล้ว ระบบเสียงก็ดีที่สุดแบบรอบทิศทาง 3 มิติ จะเพิ่มเสียงมาจากด้านบน ปัจจุบันมาจากด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง ทำให้เสียงห่อหุ้มผู้ชมแบบ 3 มิติ เสมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงและสมจริงยิ่งขึ้นกว่าระบบเดิม ด้วยลำโพง JBL series 9000 รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีความกระหึ่มมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

พร้อมทยอยเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ GLS ใน 6 สาขา คือ เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ งามวงศ์วาน-แคราย, เมกา ซีนีเพล็กซ์, พรอมานาด ซีนีเพล็กซ์, เมเจอร์ ซีนีมา บางแค, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รังสิต และ โคราช ซีนีเพล็กซ์

  • เดินหน้าลงทุนขยายโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตั้งเป้าที่จะมีโรงภาพยนตร์ทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศ CLMV 1,200 โรง โดยจะมีสาขาครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ในปี 2025

ส่วนในปี 2020 ที่จะถึงนี้ มีแผนการลงทุนขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่องอีก 30 โรง อาทิ เมเจอร์ ซีนีมา โลตัส หาดใหญ่ สงขลา, เมเจอร์ ซีนีมา Mark 4 แพร่, เมเจอร์ ซีนีมา โลตัส พะเยา, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ โลตัส นิคมบางกะดี ปทุมธานี, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ โลตัส สมุทรปราการ, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ บิ๊กซี ยะลา, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ บิ๊กซี มหาชัย 2 สมุทรสาคร

จากปัจจุบันที่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป มีโรงภาพยนตร์อยู่ใน 60 จังหวัด เข้าถึงในระดับอำเภอและตำบล โดยมีแผนจะขยายสาขาโรงภาพยนตร์ไปอีก 17 จังหวัด ที่ยังไม่มีโรงภาพยนตร์เพื่อให้ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ แม่ฮ่องสอน, แพร่, กาฬสินธุ์, บึงกาฬ, เลย, สุรินทร์, อำนาจเจริญ, ชัยนาท, อุทัยธานี, นครนายก, สมุทรสงคราม, ตราด, ภูเก็ต, ตรัง, ยะลา, นราธิวาส, ปัตตานี และภายในสิ้นปี 2019 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 169 สาขา 810 โรง 183,958 ที่นั่ง แยกเป็น

 – สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 46 สาขา 355 โรง 80,468 ที่นั่ง
 – สาขาในต่างจังหวัด 115 สาขา 416 โรง 95,041 ที่นั่ง
– สาขาในต่างประเทศ 8 สาขา 39 โรง 8,449 ที่นั่ง

  • ธุรกิจสตริมมิ่ง คอนเทนท์ที่กำลังได้รับความนิยมไม่กระทบธุรกิจโรงภาพยนตร์

ทั้งนี้ธุรกิจสตริมมิ่ง คอนเทนท์ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้นำโดย Netflix และที่เปิดตัวให้บริการไปเมื่อเร็วๆ นี้คือ Apple TV + และ Disney+ รวม ทั้ง HBO Prime ที่จะเปิดตัวให้บริการในปีนี้ นายวิชากล่าวว่า ธุรกิจโรงภาพยนตร์โดยเฉพาะเมเจอร์ ไม่ได้รับผลกระทบแม้จะเป็นผู้บริโภคกลุ่มเดียวกันก็ตาม แต่เนื่องจากคอนเทนท์หรือภาพยนตร์ยังมีความแตกต่างเรื่องเวลาการฉายอยู่เนื่องจากเกี่ยวข้องลิขสิทธิ์โรงภาพยนตร์จะผูกขาดการฉายก่อน และธุรกิจสตริมมิ่งจะได้รับลิขสิทธิ์การฉายช้ากว่า 1 ปี

ดังนั้นตนจึงมองว่าไม่ใช่คู่แข่งขันกัน อีกทั้งจะให้ความสำคัญกับการสร้างคอนเทนท์ที่เป็นซีรีส์มากว่า ในขณะที่ภาพยนตร์จะทำการซื้อจากค่ายหนัง ซึ่งทางเมเจอร์เองก็ขายหนังไทยให้ทาง Netflix ด้วยจึงเป็นพันธมิตรมากกว่าการเป็นคู่แข่ง

อย่างไรก็ตามเมื่อเทคโนโลยีมาเข้าสู่โลกดิจิทัล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผู้บริโภค ทางเมเจอร์จะต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ต้องเรียนรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น บริัษัทสตาร์ทอัพๆ ที่เกิดขึ้นมา ท่างเมเจอร์ก็เรียกมาคุยตลอดว่าทำอะไร ทางเมเจอร์ก็ใช้บริการคลาวด์จากหัวเว่ยและอเมซอน อยากรู้ว่าทั้งสองค่ายมีความแตกต่างกันอย่างไร หรืออย่าง แกร็บและไลน์ ก็ได้มีการคุยกันตลอด มีอะไรใหม่ทางเมเจอร์จะทำหมด

• ยกระดับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้ได้มาตรฐานเป็น Tollywood (Thailand+Hollywood)

ซึ่งทั่วโลกจะไม่รู้จักแค่ Hollywood และ Bollywood ในอินเดียเท่านั้น แต่จะมี Tollywood ที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยทั้งประเทศ ด้วย Market Share 50% พร้อมผลักดันส่งภาพยนตร์ไทยออกขายไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเป้าหมายหลัก คือ จีน และกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ พม่า, เวียดนาม, กัมพูชา, ลาว, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, บรูไน, ฟิลิปปินส์ รวมถึง ส่งภาพยนตร์ไทยให้บริการบนสายการบิน อาทิ Thai Airways, Hong Kong Airlines, Oman Airlines, Emirates Airlines, Air China, All Nippon Airways และบนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Netflix ซึ่งเป็นช่องทางทำให้ภาพยนตร์ไทยมีตลาดสามารถเก็บรายได้เพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบันนี้ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยได้รับการยอมรับจากตลาดต่างประเทศมากขึ้น ทำให้ไม่เพียงแต่การส่งออกภาพยนตร์ไทยไปฉายในต่างประเทศเท่านั้น แต่ดาราไทยหลายคนก็ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก มีดาราไทยไม่น้อยที่ออกไปสร้างชื่อเสียงในตลาดฮอลลีวู้ด ประเทศจีน และเกาหลี เป็นต้น ซึ่ง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ทั้ง โรงภาพยนตร์ และพร้อมเดินหน้าสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ไทยอย่างเต็มที่ เพื่อให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของบ้านเรามีการเติบโตมากยิ่งขึ้นและพัฒนาเป็น Tollywood ต่อไป

  • เดินหน้าสร้างเติบโตแบบยั่งยืน

ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ไม่เพียงเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังมองถึงการเข้ามาช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับทั้งธุรกิจและสังคม โดยชูนโยบาย “Green Cinema” เน้นการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผ่านภารกิจ Social Giving ของ มูลนิธิ เมเจอร์ แคร์

พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจุดประกายให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม ด้วยการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้นโยบาย “Green Cinema” ใน 2 ส่วนหลัก คือการ ลด ละ เลิกใช้ พลาสติก และรณรงค์การแยกประเภทขยะ และเรื่องของ Energy Saving การใช้พลังงานอย่างประหยัดที่เราคาดหวังว่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นเตือนให้คนไทยหันมาใส่ใจในเรื่องดังกล่าว


ในส่วนของการลด ละ เลิกใช้ พลาสติก และรณรงค์การแยกประเภทขยะนั้น มีการนำร่องไปตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา ด้วยการเริ่มงดใช้หลอดพลาสติกซึ่งเป็นขยะฟุ่มเฟือยใช้ครั้งเดียวทิ้งและยากต่อการย่อยสลาย ซึ่งเป็นปัญหาขยะที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ในปัจจุบัน หันมาใช้หลอดที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติอย่างน้ำตาลอ้อยที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ที่ โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป สาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล พร้อมจัดวาง ถังขยะแยกประเภท เชิญชวนและรณรงค์ให้ลูกค้ารู้จักการทิ้งขยะแยกประเภท พลาสติก, กระดาษ และ ขยะทั่วไป เพื่อง่ายต่อการนำไปกำจัดขยะ ช่วยแก้ปัญหาขยะล้นเมืองและการกำจัดขยะที่ถูกวิธี ซึ่งจะช่วยลดภาวะก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการกำจัดขยะที่ผิดประเภท ที่ โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์