เมื่อไม่ต้องกด..รูดจ่าย แค่ให้ร้านสแกนก็จบ 5 ข้อ เกาะติดเทรนด์จ่ายเงินใหม่ “มาย คิวอาร์โค้ด”

หลังจากที่ประเทศไทยเรามีระบบการใช้ “คิวอาร์โค้ด” ให้ลูกค้าสแกนจ่ายเงินกับร้านค้ามาระยะหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนกับ “พร้อมเพย์”

เริ่มต้นไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ธนาคารพาณิชย์จะปล่อย “คิวอาร์โค้ด”ตัวใหม่ หรือ “มาย คิวอาร์โค้ด”ออกมา ซึ่งจะเป็นคิวอาร์โค้ดเฉพาะตัวบุคคล และใช้งานง่ายกว่าเดิม

แต่จะดีขึ้นอย่างไร เรามี 5 ข้อมาให้เกาะติดเพื่อเรียนรู้ “มาย คิวอาร์โค้ด” ว่าจะสะดวกจริงหรือไม่กัน

1.สะดวกขึ้น เพราะร้านค้าเป็นคนสแกน
เพราะ “มาย คิวอาร์โค้ด” นั้น เราไม่ต้องเป็นคนสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจ่าย ซึ่งจะต้องสแกน กดจำนวนเงินและกดยืนยัน แต่ “มาย คิวอาร์โค้ด” นั้น แค่เราเปิดแอพฯ กดขอคิวอาร์โค้ดจากแอพพลิเคชั่นของธนาคารพาณิชย์ หรือแอพพลิเคชั่นกระเป๋าที่ลูกค้ามี แล้วเปิดให้ร้านค้าสแกนก็สามารถชำระเงินได้แล้ว

2. ปลอดภัยมากขึ้น ใช้ครั้งเดียวทิ้ง
การใช้ MyPromptQR หรือมาย คิวอาร์โค้ดนั้น เมื่อลูกค้ากดคิวอาร์โค้ดของตัวเอง ให้ร้านค้าสแกนเพื่อชำระเงินค่าสินค้าและบริการแล้วคิวอาร์โค้ดนี้แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หลังจากชำระเงินแล้ว คิวอาร์โค้ดนั้นจะหมดอายุทันที ผู้อื่นไม่สามารถนำไปใช้ได้อีก ซึ่งทำให้มีความปลอดภัยสูง

3.ใช้กับแอพพิเคชั่นกระเป๋าสตางค์ได้เกือบทุกค่าย
ด้วยความร่วมมือระหว่างสมาคมธนาคารไทย และบรรดาแอพพิเคชั่นกระเป๋าสตางค์แทบทุกค่าย ในไตรมาส 4 เราจะได้ใช้ “มาย คิวอาร์โค้ด” จาก 5 ธนาคารใหญ่ และในปีถัดไป จะใช้ได้กับแทบทุกแอพพิเคชั่นกระเป๋าสตางค์

4.ใช้ได้ห้างสรรพสินค้าหรูถึงร้านสะดวกซื้อ
จากระบบคิวอาร์โค้ดเดิมที่มีร้านค้าให้บริการ ประมาณ 5 ล้านร้านค้า ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เช่น เดอะมอลล์ กรุ๊ป บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เครือเซ็นทรัล เซ็นทรัล เจดี มันนี่ และร้านสะดวกซื้อ มีความพร้อมที่จะสแกน “มาย คิวอาร์โค้ด” ของลูกค้าเพื่อชำระเงินได้แล้ว ในไตรมาส 4 ที่เริ่มให้บริการ

5.มีของแถม ส่วนลด ให้ภายในแอพฯ
การชำระเงิน ผ่านระบบ “มาย คิวอาร์โค้ด “จะทำให้ห้าวสรรพสินค้า หรือร้านค้าที่เราซื้อของ แยกแยะการชำระเงิน และการศึกษาพฤติกรรมความชอบลูกค้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การให้สิทธิประโยชน์ หรือส่วนลด หรือฟรีสินค้าบางชนิดในการชำระผ่าน มายคิวอาร์โค้ดในครั้งต่อๆไป
อดใจอีกไม่นาน เราจะได้ลองใช้ “มายคิวอาร์โค้ด”มาดูว่าสะดวก ปลอดภัยอย่างที่ทางการโฆษณาหรือไม่…ติดตามกัน