เปิด 4 จุดล้มเหลวของ “สหรัฐ” ในการรับมือการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 …หน่วยงาน CDC ชะล่าใจพลาดตั้งแต่ต้น

ภาพโดย AFP

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐได้ออกมากรับรองชาวอเมริกันว่าการพัฒนาการตรวจสอบเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ หรือ (CDC) มีความสมบูรณ์แบบ ทุกคนที่ต้องการตรวจสามารถเข้ามาตรวจได้

ทว่านับตั้งแต่ชาวอมริกันท่ี่ติดเชื้อคนแรกจนถึงขณะนี้ชาวอเมริกันจำนวนมากยังไม่สามารถไปตรวจเชื้อได้ บนสภาพความเป็นจริงที่ CDC มี่ขีดความสามารถในการตรวจเชื้อได้เฉลี่ยเพียงวันละแค่หนึ่งโหลเท่านั้น

ทางกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐ รวมถึง CDC จึงได้เริ่มทบทวนข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น และมีผู้สังเกตุการณ์จากภายนอกและทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐบาลได้ชี้ 4 ประเด็นสำคัญถึงข้อผิดพลาด

การตัดสินใจก่อนหน้าที่จะไม่ใช้ตรวจเชื้อไวรัสที่รับรองโดยองค์การอนามัยโลก (WHO), ข้อบกพร่องจากการตรวจที่ซับซ้อนมากขึ้นที่พัฒนาโดย CDC แนวทางของรัฐบาลในการตรวจเชื้อและการให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมการตรวจมีความล่าช้า

นี่เปิดต้นเหตุของความล้มเหลวการในป้องกันการแพร่ระบาดของสหรัฐ

เมื่อผนวกกับการส่งสารของทำเนียบขาว ที่ระบุว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยไม่เลวร้ายไปกว่าไข้หวัดใหญ่’ ดังนั้นภายในหน่วยงานอย. ของสหรัฐ หรือ CDC จึงไม่รู้สึกถึงความเร่งด่วนในการทำงาน “

แม้ห้องตรวจเชื้อของเอกชน ทางหน่วยงานรัฐจะได้เพิ่มกำลังการตรวจเพิ่มหลายหมื่นชุดในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาแต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าสหรัฐยังขาดความสามารถในการตรวจที่เพียงพอและอาจใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์กับผลการตรวจเชื้อ

สัปดาห์ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ให้ความเห็นคณะผู้บริหารต่อการรับมือวิกฤติ ว่ามีความสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามดร. แอนโทนี่ ฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐ กล่าวว่าระบบของ CDC ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อตรวจเชื้อและติดตามการแพร่ระบาด

เจ. สตีเฟ่น มอร์ริสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสุขภาพ เรียกว่าการตรวจเชื้อว่าเป็นความหายนะที่เกิดขึ้นกระทันหัน  พร้อมอธิบายว่าเป็นรัฐบาลกลางมีความสับสนและตอบสนองล่าช้า ผลดังกล่าวทำให้หน่วยงาน CDC  ไม่มีความสำคัญในทำเนียบขาว การพัฒนาที่น่าเป็นห่วง CDC ทำงานช้าไป ไล่วิ่งตามหลังการแพร่ระบาด

ตั้งแต่การเริ่มต้นแพร่ระบาดในช่วงเทศกาลปีใหม่ นักวิทยาศาสตร์จีนได้แจ้งข้อมูลไปยัง WHO เกิดการติดเชื้อไวรัสที่เมืองอู่ฮั่น จากนั้นไม่ถึง 2 สัปดาห์ได้ระบุถึงข้อมูลไวรัสโควิด-19 และแบ่งปันข้อมูลไปยังชาวโลก

ไม่กี่วันต่อมา นักวิทยาศาสาตร์เยอรมันได้พัฒนาชุดตรวจเชื้อที่ระบุ DNA ของไวรัสนี้ได้ WHO ตอบสนองอย่างรวดเร็วและนำไปเผยแพร่เป็นแนวทางการผลิตชุดตรวจเชื้อตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2563 และร่วมกับภาคเอกชนต่างๆ เพื่อผลิตอุปกรณ์การตรวจเชื้อ

ในขณะที่ CDC ได้ตกลงพัฒนาชุดตรวจเชื้อของตนเองขึ้นมา ได้เปิดเผยข้อมูลทางเทคนิคในวันที่ 28 มกราคม หลังจาก WHO  10 วัน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดภายในสหรัฐฯ  โดยคนแรกที่ติดเชื้อถูกพบในเมืองซีแอตเติ้ล เดินทางกลับถึงบ้านในวันที่ 15 มกราคม หลังจากเดินทางไปเมืองอู่ฮั่น และไปตรวจเชื้อในวันที่ 21 มกราคม   

ในวันที่ 30 มกราคม WHO ได้ประกาศเป็นโรคระบาดฉุกเฉิน ทรัมป์ยังยืนยันว่าควบคุมได้ จากนั้นได้เดินทางไปพักผ่อนในวันหยุดพร้อมกิจกรรมตีกอล์ฟที่รัฐฟลอริด้า 


ทว่า วันต่อมา วันต่อมาสหรัฐได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน แต่ถึงกระนั้นชาวอเมริกันที่กลับจากประเทศจีนซึ่งมีไข้และไม่ได้รับการตรวจเชื้อ  เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนให้กักกันตัวเองที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน

ณ ช่วงนั้น CDC ยืนยันเพียงผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกาเพียง 8 ราย และได้แก้ไขเกณฑ์การตรวจเชื้อรวมถึงผู้คนที่มีอาการไข้ที่เดินทางไปยังประเทศจีนมากกว่าเฉพาะที่เดินทางไปเมืองอู่ฮั่น

สี่วันหลังจากที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมีผู้ป่วยเพียง 178 รายเท่านั้นที่ถูกทดสอบและอีก 82 รายระบุว่า“อยู่ระหว่างดำเนินการ” หมายถึงพวกเขากำลังรอผลสุดท้ายตามข้อมูลของ CDC ที่เผยแพร่ในเวลานั้น

เพื่อช่วยเพิ่มจำนวนคนที่ถูกคัดเลือกสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ออกใบอนุญาตฉุกเฉินสำหรับห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองจาก CDC และได้รับชุดทดสอบที่สามารถทดสอบผู้ป่วยเพียง 250 คน

ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดกลางเดือนกุมภาพันธ์มีแล็บตรวจเชื้อของรัฐและท้องถิ่นเพียง 5-6 แห่งเท่านั้นที่เชื่อถือได้ ซึ่งดร.โรเบิร์ต เรดฟิลด์ ผู้อำนวยการ CDC แล็บตรวจเชื้อบางแห่งในบางรัฐไม่ได้ผล และมาไล่ดูการทำงานดูว่าไม่ใช่ความผิดแต่เป็นเพราะการควบคุมคุณภาพที่พัฒนาจากความสำเร็จเท่านั้น

ปัญหาการตรวจเชื้อเกิดขึ้นเมื่อ CDC ขยายเกณฑ์การรวมผู้ป่วยที่ “ป่วยหนัก” ด้วยอาการ COVID-19 แม้ว่าจะไม่ได้ระบุแหล่งที่มาของการสัมผัสที่รู้จัก เมื่อมีคนป่วยมากขึ้นที่ต้องการทำการตรวจเชื้อในหลายรัฐถูกบังคับให้ จำกัดการเข้าถึงเนื่องจากการทดสอบ CDC ที่มีข้อบกพร่อง 

เริ่มปรากฎข่าวผ่านสื่อโซเชียลของผู้คนที่มีอาการทั้งหมดของ COVID-19 ที่ไม่ได้รับการตรวจหรือมีผลการตรวจมีความล่าช้าไปเป็นวันหรือแม้แต่เป็นสัปดาห์ 

แพทย์บางคนระบุว่า ผู้ป่วยบางคนอยู่ในห้อง ICU แต่ไม่รู้ติดเชื้อไวรัสนี้หรือไม่เพราะไม่สามารถตรวจได้

เมื่อ 29 กุมภาพันธ์ ผู้ป่วยจำนวน 472 รายได้รับการยืนยันเพียง 22 ราย และ 9 รายไม่พบประวัติการเดินทาง  

มีการเทียบกับเกาหลีใต้ ทันทีที่พบผู้ป่วยรายแรกเมื่อวันที่ 20 มกราคม ได้อนุญาตให้ภาคเอกชนเข้าตรวจเชื้อ ทำให้ทำงานรวดเร็วเป็นผลให้ประเทศที่มีประชากรน้อยกว่าสหรัฐถึง 6 เท่า ทำการตรวจเชื้อได้เร็วถึงวันละ 20,000 ราย พร้อมยังมีบริการตรวจเชื้อแบบไดร์ฟทรู เพียงแค่อยู่บนรถยนต์ก็ตรวจได้ จึงชะลอการเกิดผู้ป่วยรายใหม่ให้อยู่ในระดับที่จัดการได้ง่ายขึ้น

ในที่สุด ดร. แอนโทนี่ ฟาซี ยอมรับถึงความล้มเหลวในระบบของ CDC 

หลังจากนั้นทางการสหรัฐได้อนุญาตให้เอกชนใช้แล็บตรวจเชื้อได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแล

วันที่ 6 มีนาคม ทรัมป์ได้เดินทางไปตรวจ CDC ที่เมืองแอตแลนต้า ได้ชื่นชมการปฏิบัติการพร้อมชุดตรวจเชื้อ 4 ล้านชุดที่พร้อมจะทำการตรวจในอีกสัปดาห์ต่อไป แต่ปัญหามีอยู่ว่าแล็บที่ตรวจไม่พร้อมที่จะรับการตรวจในจำนวนมากได้

ดร. แอทชิ เค.จา ผู้อำนวยการสถาบัน Global Health Institute ของฮาวาร์ด ระบุว่าในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ขีดความสามารถในการตรวจเชื้อของสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นโดย LabCorp บริษัทเอกชนที่เข้าร่วมมให้บริการตรวจเชื้อตั้งแต่ในวันที่ 5 มีนาคมและตามด้วย Quest Diagnostics รวมทั้งการตรวจจาก โรงพยาบาลแต่ละแห่งและศูนย์อื่น ๆ ทำให้จำนวนผู้ได้รับการยืนยันติดเชื้อ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

“มีการประมาณการว่าสหรัฐฯควรตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้ได้ถึงวันะ 100,000 ถึง 150,000 ราย จากการตรวจในขณะนี้มากถึง 40,000 รายต่อวัน ดังนั้นจึงเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง แม้ว่ายังห่างไกลจากที่ต้องการแต่เราจะไปถึงจุดนั้น”

ล่าสุด สหรัฐ พบผู้ติดเชื้อ 43,734 ราย เพิ่มขึ้น 10,168 ราย หรือเพิ่มขึ้น 23.2% ผู้เสียชีวิต 553 ราย เพิ่มขึ้น 140 ราย มีอัตราการเสียชีวิตต่อผู้ป่วยในสัดส่วน 1.28%