- ตลาดได้รับ.แรงหนุนจากการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งเตรียมจะนำไปใช้ในยุโรปและทั่วโลก
- นักลงทุนจับตาประธานเฟด -รมว.คลังสหรัฐ ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารวุฒิสภา
- มีแรงซื้อกลับในหุ้นหลายกลุ่ม หลังเทขายทำกำไรช่วงสิ้นเดือน พ.ย.
เมื่อเวลา 22.15น. ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวทะลุ 30,000 จุดอีกครั้ง โดยอยู่ที่ระดับ 30,027.09 จุด เพิ่มขึ้ 388.45 จุด หรือ +1.31% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 12,332.27 จุด เพิ่มขึ้น 133.54 จุด หรือ +1.09% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,669.20 จุด เพิ่มขึ้น 47.57 จุด หรือ +1.31%
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งเตรียมจะนำไปใช้ในยุโรป รวมทั้งความชัดเจนของทิศทางการเมืองในสหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เริ่มกระบวนการถ่ายโอนอำนาจให้แก่นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยดัชนีดาวโจนส์ขึ้นไปทดสอบระดับ 30,000 จุดอีกครั้งในวันนี้
ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี แถลงว่า ทางบริษัทได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานยาแห่งยุโรป (EMA) ในวันนี้ เพื่อขออนุมัติการจำหน่ายวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของทางบริษัทเป็นกรณีฉุกเฉิน
โดยหาก EMA ให้การอนุมัติ ก็จะส่งผลให้ไฟเซอร์สามารถใช้วัคซีนดังกล่าวในยุโรปก่อนปลายปีนี้
นักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ซึ่งจะเข้าทำการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้เกี่ยวกับการดำเนินการของเฟดและรัฐบาลสหรัฐในการเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
เว็บไซต์ของเฟดได้เผยแพร่ร่างแถลงการณ์ของนายพาวเวลซึ่งเตรียมไว้สำหรับการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้ โดยระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐและทั่วโลก จะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
“”จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐและต่างประเทศนั้น ถือเป็นสิ่งที่น่ากังวล และอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ โดยการฟื้นตัวอย่างเต็มรูปแบบของเศรษฐกิจยังไม่มีแนวโน้มเกิดขึ้น จนกว่าประชาชนจะมีความมั่นใจในการเข้าร่วมกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง เรามองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน และแนวโน้มเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการจัดการกับการแพร่ระบาด”
นายพาวเวลยังกล่าวด้วยว่า “แม้มีข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับวัคซีนต้านโควิด-19 ในระยะกลางนี้ แต่ก็ยังมีความท้าทายและความไม่แน่นอนอย่างมีนัยสำคัญในขณะนี้ ซึ่งรวมถึงระยะเวลา การผลิต และการจำหน่ายจ่ายแจก นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของวัคซีนของแต่ละบริษัทก็ยังแตกต่างกันด้วย”
นอกจากนี้ นายพาวเวลยังกล่าวถึงความสำคัญของโครงการเงินกู้เพื่อเยียวยาผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งโครงการดังกล่าวจะหมดอายุในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ โดยระบุว่า โครงการเหล่านี้มีความสำคัญในฐานะเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนตลาดสินเชื่อ และยังช่วยฟื้นฟูการไหลเวียนของสินเชื่อจากบรรดาผู้ปล่อยกู้เอกชนผ่านช่องทางปกติ อย่างไรก็ดี นายมนูชินได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า จะไม่มีการต่ออายุโครงการเงินกู้ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ แม้เจ้าหน้าที่เฟดได้เรียกร้องให้มีการขยายโครงการปล่อยกู้ดังกล่าวก็ตาม