เปิดมุมมองรับต่างชาติฟื้นท่องเที่ยว

หลังจากสำรวจความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องและประชาชนมาระยะหนึ่ง !!

ในที่สุด รัฐบาลก็ได้อนุมัติหลักการ เปิดไฟเขียวรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประเภทพิเศษสเปเชียล ทัวร์ริสต์ วีซ่า (Special Tourist Visa ) หรือ STV  เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีกำลังซื้อและต้องการมาพำนักระยะยาว หรือ Long Stay สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและพักอาศัยในไทยได้ 

อย่างไรก็ตาม ในเฟสแรกนี้  มีเงื่อนไขต้องยินยอมให้มีการกักตัว 14 วัน ในโรงแรมกักตัวทางเลือก Alternative State Quarantine หรือ ASQ หลังจากนั้น ให้ท่องเที่ยวได้โดยมีระบบติดตามตัว เช่น ริชแบรนด์ และแอปพลิเคชั่นติดตามตัว โดยวีซ่าพิเศษ (STV) นี้จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพำนักได้ 90 วันต่ออายุได้ 2 ครั้ง เท่ากับสูงสุดได้ถึง 270 วัน  โดยระยะแรกจะเปิดรับเดือนละ 1,200 คน เริ่มเดือนตุลาคม 2563 ไปจนถึงเดือนกันยายน 64 หรือ 1 ปีเต็ม

โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศสามารถแจ้งความประสงค์ผ่านทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), บริษัท ไทยแลนด์ ลองสเตย์ จำกัด หรือบริษัทนำเที่ยวที่พร้อมเข้าร่วมโครงการ โดยหลังจากที่นักท่องเที่ยวแจ้งความประสงค์ในการเดินทาง พร้อมส่งใบตรวจรับรองสุขภาพ  ทัวร์บริษัทจะจองโรงแรมที่พักสำหรับเป็นสถานที่กักตัว 14 ตัว พาหนะโดยสาร ประกันการเดินทาง บริการทางการท่องเที่ยวอื่น ๆ รวมถึงเที่ยวบินเช่าเหมาลำหรือเที่ยวบินเจ็ตส่วนตัวให้กับนักท่องเที่ยว 

พร้อมยื่นขออนุมัติวีซ่า STV ต่อสถานทูต หลังจากสถานทูตอนุมัติวีซ่าเรียบร้อยจะออกหนังสือรับรองสถานภาพการพำนัก หรือ certificate of eligibility : COE ในประเทศไทยเพื่อเป็นใบผ่านทางให้กับนักท่องเที่ยว

ทั้งนี้ แม้คาดว่า ในเบื้องต้นจะรับนักท่องเที่ยวได้เพียง 1,200 คนต่อเดือนเท่านั้น แต่มุมมองทั้งของภาคธุรกิจท่องเที่ยว บุคคลากรทางการแพทย์ นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ เห็นตรงกันว่า “ถึงเวลาที่ต้องเริ่มทำแล้ว” หากรอช้าไปกว่านี้ อุตสาหกรรมบริการของไทย ทั้งการท่องเที่ยว โรงแรม ขนส่ง ฯลฯ  อาจจะต้องปลดคนงานอีกจำนวนมาก โดยคาดกันว่าอาจจะสูงถึง 2.5 ล้านคนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 64

ขณะเดียวกัน ประเด็นที่นอกเหนือจากเม็ดเงินที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้นจาก “นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีฐานะการเงินมั่นคง”เหล่านี้แล้ว โครงการนี้ยังเป็นบททดสอบประสิทธิภาพใน “การรับมือ” และ “การป้องกัน” การระบาดของโควิด-19 รอบสองของประเทศไทยของทุกหน่วยงาน รวมถึงทดสอบการ “ยกการ์ด” ของคนไทยทั้งประเทศว่า ยังเคร่งครัดการ์ดสูงอยู่ หรือ การ์ดตกกันหมดแล้ว

หากเฟสแรกเป็นไปได้ด้วยดี สามารถควบคุมไม่ให้เกิดการติดเชื้อใหม่ในอัตราที่สูงได้ ก็มีโอกาสที่เราจะขยับไปยังเฟส 2 หรือ Travel bubble ซึ่งเราพูดถึงกันในช่วงก่อนหน้านี้ได้

โดยเลือกจับคู่การท่องเที่ยวกับประเทศที่มีการระบาดของโควิด-19 ในอัตราที่ต่ำมากๆ เป็นเวลาระยะหนึ่ง และไม่มีแนวโน้มการระบาดรอบใหม่ โดยนักท่องเที่ยวต้องตรวจสุขภาพ ทั้งจากประเทศต้นทางและประเทศปลายทางก่อนเข้า โดยไม่ต้องกักตัวยาวนานถึง 14 วัน

สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ระบุว่า เตรียมรายละเอียดข้อมูลการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศหรือเมืองที่ปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 เป็นเวลามากกว่า 60 วันขึ้นไป นำเสนอรัฐบาลเพื่อพิจารณา โดยขณะนี้มีประเทศต่าง ๆ ที่ปลอดภัยจากโควิด เช่น ในประเทศจีน มีมากกว่า 20 มณฑล รวมทั้งไต้หวัน และประเทศเวียดนาม ซึ่งถือว่า นักท่องเที่ยวเหล่านี้มีความปลอดภัยสูง สามารถเปิดให้ท่องเที่ยวระยะสั้นได้ ในพื้นที่ที่กำหนดไว้ได้

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า เราจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมากๆ ได้ในทันที เพราะตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกันโควิด -19 ได้อย่างเต็มที่ โอกาสที่เราจะเปิดรับจำนวนนักท่องเที่ยวเต็มศักยภาพของเรา อย่างที่เคยรับปีละ 40 ล้านคนต่อปีในระยะเวลาใกล้ๆ นี้ แทบจะเป็นศูนย์

ดังนั้น ส่วนหนึ่งภาคการท่องเที่ยวจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะลดลงในช่วงต่อจากนี้ โดยการคาดการณ์ว่า อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีในการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวทั่วโลกให้มีการเดินทางคึกคักอีกครั้ง และที่สำคัญ มีความเห็นจากหลายๆ หน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจที่มองตรงกันว่า หลังโควิด-19 การเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกอาจจะเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และอาจจะไม่ใช่การท่องเที่ยวในรูปแบบที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่า อัตราที่สูงที่สุดในขณะนี้ หากมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวระยะสั้นได้ ปีหน้าจะมีีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้ประมาณ 13 ล้านคน หรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งจากปีก่อนๆ แต่หากในปีหน้าการเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบระยะสั้นยังเกิดขึ้นไม่ได้ ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่คาดการณ์ไว้จะลดลงไปอีก

ส่วนนักท่องเที่ยวคนไทย หรือไทยเที่ยวไทยนั้น ถือเป็นความหวังสูงสุดท่ี่จะช่วยทดแทนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้บ้าง แม้ว่าผู้ที่จองห้องพักในโครงการเที่ยวด้วยกัน ของรัฐบาลจะยังไม่ไม่มาก อยู่ที่ประมาณ 20% ของจำนวนที่ขอสิทธิ์ไว้ก็ตาม หากในไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นหน้าหนาว หน้าท่องเที่ยวของไทย คนไทยเที่ยวไทยเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อนๆ ขณะที่โครงการรับนักท่องเที่ยวพิเศษ เริ่มเดินหน้าได้อย่างปลอดภัย ไม่มีปัญหา 

คงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของภาคท่องเที่ยวลดลงบ้าง และประคองการจ้างงานต่อไปได้อีกเฮือกหนึ่ง!