“เฉลิมชัย” ประกาศ 1ต.ค.นี้ ชาวสวนยางพาราได้รับเงินประกันรายได้ก้อนแรก

  • รัฐทุ่มทั้งโครงการ 3 หมื่นล้านบาท
  • สั่งตั้ง4ทีมทำงานอุดช่องโหว่กันทุจริต

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า วันที่ 1 ต.ค.2562 ชาวสวนยางกลุ่มแรกจะได้รับเงินชดเชยราคายาง ตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ในราคายางแผ่นดิบ 60 บาท/กิโลกรัม(กก.) จำนวน 25 ไร่/ครัวเรือน กำหนดให้มีการจ่ายชดเชยระยะเวลา 6 เดือน เบื้องต้นกำหนดงบประมาณไว้ที่ 30,000 ล้านบาท โดยจะจ่ายเงินจะใช้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปก่อน และจะขอรับการสนับสนุนจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564เพื่อชดเชยต่อไป

ทั้งนี้ ระยะเวลาชดเชยราคายางแผ่นดิบ กำหนดไว้ 6 เดือนจ่ายเงินทุก 2 เดือน ระยะเวลาดำเนินโครงการ ตั้งแต่เดือนต.ค.2562 และปิดโครงการเม.ย.2563 โครงการจะครอบคลุมชาวสวนยางในพื้นที่ขึ้นทะเบียนไว้ 13,326,540 ไร่ เกษตรกร 1,129,336 ครัวเรือน โดยเงินชดเชยการประกันรายได้จะแปรผันไปตามราคายางพาราที่เคลื่อนไหวตลอดระยะดำเนินโครงการ ตามสูตร เงินชดเชยประกันรายได้ในแต่ละครั้ง เท่ากับราคาประกันรายได้ หักราคาอ้างอิง และปริมาณการขายผลผลิตยางพาราตามเนื้อยางที่กรีด 240 กก./ไร่/ปี โดยกำหนดการประกันราคายางแผ่นดิบคุณภาพดี 60 บาทต่อกก. ประกันรายได้ราคาน้ำยางสด 57 บาท/กก.และประกันรายได้ราคายางก้อนถ้วย 50 บาท/กก.


รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า การช่วยเหลือด้านราคาให้ชาวสวนยางพารา เป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการแต่ต้องรอบคอบ เพื่ออุดช่องโหว่ทางกฏหมายที่อาจทำให้เกิดการทุจริต จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 4 คณะ เพื่อมาดำเนินการพิจารณาในแต่ละมิติ ดังนี้คือ 1.คณะกรรมการบริหารโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง 2.คณะทำงานกำหนดราคากลางอ้างอิง 3.คณะกรรมการบริหารโครงการฯระดับจังหวัด 4.คณะทำงานโครงการระดับตำบล

“การรับประกันราคาเบื้องต้นมีการดำเนินการเอกสารสิทธ์ก่อน เพราะกลุ่มนี้จะไม่มีปัญหาในการช่วยเหลือ เพราะมีทะเบียนที่ชัดเจน และเป็นพื้นที่ที่ครอบครองถูกต้องตามกฏหมาย ส่วนไม่มีเอกสารสิทธิ์ ต้องหามาตรการอื่นมารองรับ โดยจะหารือกับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะยางพาราเป็นผลผลิตที่ไทยผลิตเพื่อส่งออก และคนซื้อเป็นคนกำหนดเงื่อนไข หากมีการสนับสนุนให้เข้าโครงการประกันรายได้ น่าจะมีปัญหากับประเทศคู่ค้า ที่อาจถูกยกเงื่อนไขนี้ มากีดกันด้านการค้ากับยางพาราไทย”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หากพิจารณาจากราคายางพาราในปัจจุบันที่ 40 บาท/กก. การชดเชยรายได้ให้ชาวสวนยางกก.ละ20 บาท รัฐจะใช้เงินทั้งหมด 33,200 ล้านบาท โดยชาวสวนมีสวนยางพาราที่มีพื้นที่ 25 ไร่ จะมีรายได้จากเงินชดเชยครัวเรือนละ 60,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงเกษตรกรไทยมีการผลิตยางพาราแตกต่างกัน หากคิดราคาเฉลี่ย ณ เดือนส.ค.2562 แบ่งเป็น ยางแผ่นดิบ 28.515 ล้านกก.หรือสัดส่วน 10.68% ของผลผลิตทั้งหมด ราคาจะอยู่ที่ 39.92 บาท/กก.รัฐบาลต้องชดเชย 20.08 บาท/กก.หรือใช้เงิน 572.59 ล้านบาท น้ำยางสดมีปริมาณ 88.323 ล้านกก. สัดส่วน 33.08%ของผลผลิตทั้งหมด ราคาประกัน 57 บาท/กก.ราคาชดเชย 17.60 บาท/กก.ใช้งบประมาณ 1,554.49 ล้านบาท ยางก้อนถ้วย ปริมาณ 149.466 ล้านกก.สัดส่วน 55.98% ของผลผลิตทั้งหมด ราคาประกัน 50 บาท ราคาเฉลี่ย 33.10 บาท/กก.ราคาชดเชย 16.90 บาท/กก.ใช้งบประมาณ 2,525.98 ล้านบาท หรืองบประมาณ 28,950 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการหารือแนวทางการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง เบื้องต้น หลังจากนี้นายเฉลิมชัยจะเชิญผู้ประกอบการ พ่อค้าคนกลาง และตัวแทนชาวสาวนยาง เข้ามาพุดคุยพร้อมสร้างความเข้าใจร่วมกัน จึงจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป