เขย่าขวัญ!! แฟนๆ NetFlix ต้องอ่าน เมื่อเจ้าของคอนเทนท์ดึงกลับไปทำสตริมมิ่งเอง

  • คอนเทนท์กว่า 50% ของ Netflix เตรียมหลุดมือ
  • Netflix รู้ชะตาทุ่มทุนมหาศาลสร้างคอนเทนท์เอง
  • ยักษ์ใหญ่ดาหน้าลุย Disney+, Apple+, AT&T

ธุรกิจวีดิโอสตริมมิ่งออนไลน์ถูกกฏหมายในบ้านเราได้รับความนิยมเรื่อยมา ที่ได้รับความนิยมสูงหนีไม่พ้น Netflix เรียกว่าใครๆ ก็ดู กลายเป็นหัวข้อทันสมัยในยุคดิจิทัลที่คุยถึง Netflix คุยกันถึงดูซีรีส์หรือหนังใหม่ๆ

Netflix ผู้ให้บริการสตริมมิ่งวีดิโอออนไลน์ถูกกฏหมาย ถูกลิขสิทธิ์ มีจุดเริ่มต้นมาจาก การเริ่มให้เช่ายืม DVD , Bluray ของภาพยนตร์ ผ่านทางไปรษณีย์ ที่ถ้าหากไม่ส่งคืนก็จะไม่สามารถเช่ายืมเรื่องใหม่ได้และด้วยวิธีการนี้เองก็ทำให้ เน็ตฟลิกซ์ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้มีการปรับเปลี่ยนจาก การเช่ายืม ผ่านทางไปรษณีย์ มาเป็นการให้บริการรับชมสตรีมมิ่งวิดิโอ ภาพยนตร์ และซีรีส์ออนไลน์แทน

NetFilex เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ต่อมาในปี 2013 ได้ทำเข้าสู่อุตสาหกรรมผู้ผลิตสื่ออย่างเป็นทางการ และเป็นจุดเริ่มต้นของความโด่งดัง การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Netflix จนถึงทุกวันนี้ นั้นก็คือการสร้างซีรีส์ออริจินัลที่ให้บริการรับชมเฉพาะผ่านทาง โดยซีรีส์รับชมออนไลน์เท่านั้น

ซีรีส์เรื่องแรก House of Cards หลังจากนั้นมาก็มีการผลิตทั้งซีรีส์และภาพยนตร์ออริจินัล ถึง 126 เรื่องและได้มีการผลิตอย่างต่อเนื่องอีกมากมายถึงทุกวันนี้ จากบริษัทเล็กๆที่เริ่มต้นจากการให้เช่ายืมแผ่น DVD , Bluray สู่ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีการเปิดบริการให้รับชมสตรีมมิ่งมากกว่า 190 ประเทศทั่วโลกและสร้างรายได้มากกว่า 21,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีค.ศ.2017

Netfilx เปิดให้บริการในไทย ตั้งแต่ปี 2016 ที่เริ่มแรกยังไม่มีคำบรรยายไทย เสียงพากษ์ไทยและต่อมาก็ในปี 2017 ก็ได้มีแฟนเพจ Netflix ของไทยอย่างเป็นทางการและเริ่มมีคำบรรยยายไทย เสียงพากษ์ไทยมากขึ้น


Netflix ประสบความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่เปิดให้บริการ ธุรกิจสตริมมิ่งได้รับความนิยมสูงธุรกิจอยู่ในตลาดหลักทรัพย์กลายเป็นหุ้นที่น่าลงทุน Netflix ได้ลูกค้าหลายสิบล้านรายจากบริษัทเคเบิลทีวี ขณะที่ปีที่ผ่านมาครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกันที่มีช่วงอายุระหว่าง 22-45 ปี ไม่ได้ดูเคเบิลทีวีและชาวอเมริกันราว 35 ล้านคนได้เลิกเป็นสมาชิกเคเบิลทีวีมานานนับสิบปี

แต่ถึงเวลาที่ Netflix จะเผชิญกับความจริง และความรุ่งโรจน์จะสิ้นสุดลงและสิ่งที่ตามมาคุณอาจจะไม่พอใจนักเมื่อเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทสตริมิ่งยอดนิยมแห่งนี้


ที่ผ่านมา Netflix เป็นผู้ให้บริการสตรีมมิ่งเพียงรายเดียว ไม่เพียงแค่สนุกสนานเพราะไร้คู่แข่งเท่านั้น แต่มีหลายๆ บริษัทยักษ์ใหญ่และทรงพลังที่สุดในโลกหลายแห่งช่วยให้ Netflix สร้างธุรกิจและประสบความสำเร็จ

ผู้ก่อตั้ง Netflix รีด ฮัสทิ่ง (Reed Hastings) ทำธุรกิจมาถูกทางที่นับว่าสุดยอดที่สุดก็คือการเช่าซื้อรายการและภาพยนตร์จากบริษัทอื่นผลิตมาให้บริการสตริมมิ่งนั่นเอง

ในต้นปี 2010 Netflix ได้ลงนามข้อตกลงกับผู้สร้างภาพยนตร์และโทรทัศน์เช่น Disney และ NBC ด้วยต้นทุนค่าใช้จ่ายต่ำมาก Netflix ได้ซื้อสิทธิ์คอนเทนท์ยอดนิยมเช่นหนัง Marvel Avengers และหนังยอดฮิตอย่าง The Office และ Friends

มองว่า Netflix ได้สร้างธุรกิจบนคอนเทนท์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ และสำเร็จได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ จนถึงขณะนี้ Netflix มีสมาชิกถึง 149 ล้านราย

ทว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้กำลังท้าทาย Netflix เพราะได้มียักษ์ใหญ่ตื่นขึ้นจากภวังค์มา และพวกเขากำลังสิ้นสุดสัญญาที่มีไว้กับ Netflix กลับไปดูคอนเทนท์เองและสร้างช่องทางสตริมมิ่งขึ้นมาเอง

Disney + ผละจาก Netflix ทำเองปลายปีนี้


โดยค่าย Disney เตรียมเปิดให้บริการ Disney+ ในปีนี้ และถูกคาดหมายว่าได้รับความนิยม แม้ว่า Disney เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดสำหรับการ์ตูนมิกกี้เม้าส์ แต่เป็นเจ้าของภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาที่ขายดีที่สุด 3 เรื่องในปีนี้คือ Avengers: Endgame, Captain Marvel และ Aladdin ดิสนีย์เป็นเจ้าของทั้ง 3 เรื่อง

ภาพยนตร์ที่ขายดีที่สุด 3 เรื่องในปี 2018 คือ Black Panther, Avengers: Infinity War และ Incredibles 2 ดิสนีย์เป็นเจ้าของทั้ง 3 เรื่อง

ภาพยนตร์ที่ขายดีที่สุด 3 เรื่องในปี 2017 คือ Star Wars: The Last Jedi, Guardians of the Galaxy 2, and Beauty and the Beast.ดิสนีย์เป็นเจ้าของทั้ง 3 เรื่อง

ภาพยนตร์ใหม่ล่าสุดภาพยนตร์ยอดนิยมทุกเรื่องที่ดูใน Netfilx จะดูได้แค่ภายในสิ้นปีนี้เท่านั้น หากต้องการรับชมจะต้องไปสมัครสมาชิก Disney + แทน

ทั้งนี้ Disney + จะคิดค่าบริการเพียง 6.99 ดอลลาร์ฯ/เดือน เท่านั้น หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการสมัครชมในช่อง Netflix

นอกจากนี้ผู้ถือหุ้น Netflix มีอีกเรื่องที่กังวลก็คือบริการสตรีมมิ่งใหม่ของ AT&T ที่เปิดตัวในปี 2020 ค่าบริการจะสูงกว่า Netflix เพียงเล็กน้อยในราคาเดือนละ 16–17 ดอลลาร์

AT&T เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะบริษัทให้บริการโทรศัพท์มือถือ แต่การซื้อ WarnerMedia ในปี 2018 ทำให้ บริษัทนี้กลายเป็นแหล่งผลิตสื่อชั้นนำทันที เป็นเจ้าของ HBO ซึ่งเป็นเครือข่ายทีวีพรีเมียมที่ประสบความสำเร็จสูงสุด HBO ยังคงเปิดตัวอย่างต่อเนื่องเช่น The Sopranos, Game of Thrones และ Sex in the City

อย่าลืมว่า Netflix ประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ เกิดจากการ Disruption และการปฏิวัติทีวี เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่กระบวนการออกอากาศทีวีและภาพยนตร์ผ่านอินเทอร์เน็ตได้รับความนิยม

ตอนนี้คนอื่น ๆ ตามทัน เกมอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ในไม่ช้าผู้บริโภคจะมีบริการสตรีมมิ่งให้เลือกมากมาย พวกเขาจะเลือกคอนเทนท์ที่ดีที่สุดแทน

Netflix กำลังสูญเสียคอนเทนท์ที่ดีที่สุด

ไม่เพียงแต่คอนเทนท์ของ Disney เท่านั้นท่ีกำลังจะสูญเสียไป ภายในอีก 2 ปีข้างหน้าคอนเทนท์ทั้งหมดจะหมดสัญญา จากรายงานของ The Wall Street Journal รายการหรือคอนเทนท์ของที่มีผู้ชมมากที่สุดคือ The Office ทางบริษัท NBC Universal เป็นเจ้าของคอนเทนท์ฺดังกล่าวและเตรียมเปิดให้บริการสตริมมิ่งเพิ่มขึ้นอีกราย แน่นอนว่าจะดึง The Office จาก Netfilx ในปลายปีหน้าเพื่อมาออกสตริมมิ่งของตน

รวมทั้งคอนเทนท์ Friends ซึ่งเจ้าของคือ WarnerMedia ซึ่งเจ้าของ AT&T ก็จะดึงกลับในปี 2020

Apple TV+ซุ่มขุมกำลังมือดี เปิดให้บริการปลายปีนี้

นี่ยังไม่นับรวมถึง Apple ที่ประกาศเปิดตัว Apple TV+ บ้านหลังใหม่สำหรับนักสร้างสรรค์ระดับโลก เป็นบริการสตริมมิ่งแบบบอกรับสมาชิกที่ Apple ผลิตขึ้นมาเองในแอปพลิเคชั่น Apple TV แบบใหม่หมด จะพาไปพบกับรายการพิเศษที่หาชมจากที่อื่นไม่ได้ รวมถึงภาพยนตร์และสารคดีต่างๆ อีกมากมาย

ในวันเปิดตัว Apple TV+ ได้เห็นบุคคลมีชื่อเสียงนักสร้างสรรค์ยอดฝีมือที่โด่งดังระดับโลกอย่าง Oprah Winfrey, Steven Spielberg, Jennifer Aniston, Reese Witherspoon, Octavia Spencer, J.J. Abrams, Jason Momoa, M. Night Shyamalan, Jon M. Chu และอีกมากมาย และจะเริ่มเปิดให้บริการปลายปีนี้

โฟกัสของธุรกิจจึงหันมามองว่า Disney+ เป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับ Apple TV+ มากกว่า Netfilx

Jumpshot ซึ่งเป็นบริษัทวิคราะห์ระบุว่า คอนเทนท์ของ Netflix กว่า 50% ที่มีในมือปัจจุบันล้วนแต่เจ้าของจะดึงกลับไปทำธุรกิจสตริมมิ่งภาพยนตร์ของตนเองทั้งนั้น

สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ Netflix กำลังสูญเสียคอนเทนท์ภาพยนตร์และทีวีโชว์ที่ดีที่สุด ซึ่ง Netflix ทราบเป็นอย่างดีจึงลงทุนทางด้านคอนเทนท์อย่างหนักหน่วง ในปีที่ผ่านมาใช้เงินไปถึง 12,000 ล้านดอลลาร์ และในปีนี้จะใช้เงินอีก 15,000 ล้านดอลลาร์ นับเป็นเป็นงบประมาณมหาศาลมากกว่าใครๆ

แต่ก็เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อเป็นการระดมทุนรายการใหม่ Netflix กำลังยืมเงินจำนวนมหาศาล ในปีที่ผ่านมาหนี้ของบริษัทพุ่งขึ้นถึง 58% สู่ 1.03 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ปีที่แล้ว Netflix ทำกำไรได้ 1,200 ล้านดอลลาร์

น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะใช้จ่ายไปเท่าไรก็ไม่สามารถหวังว่าจะแข่งขันกับ Disney หรือ AT&T ซึ่ง Netflix อยู่ในจุดที่ไม่น่าจะแข่งขันได้

Netflix สามารถอยู่รอดได้หรือไม่?

มูลค่าตลาดของ Netflix อยู่ที่ประมาณ 165,000 ล้านดอลลาร์ ใหญ่เป็นอันดับที่ 30 ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่นั่นเป็นจากผลการดำเนินการในอดีตที่ผ่านมา แต่ในอนาคตข้างหน้าการจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับรายการทีวีโชว์และภาพยนตร์ที่ผลิตขึ้นมาเอง

สมมติว่ามันประสบความสำเร็จและสร้างคอนเทนท์ที่ผู้คนชื่นชอบ ปัญหาคือ มูลค่าของบริษัทที่ผลิตรายการทีวีโชว์และภาพยนตร์ คงไม่อยู่ใกล้กับมูลค่าตลาดมหาศาล 165,000 ล้านดอลลาร์นี้ได้

แม้แต่สตูดิโอภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จก็มีมูลค่าหลักหมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2018 Walt Disney studios ซึ่งรวมถึงแบรนด์ที่เป็นสัญลักษณ์อย่าง Marvel, Star Wars และ Pixar สร้างรายได้ 10,000 ล้านดอลลาร์และกำไร 2,980 ล้านดอลลาร์ เท่านั้น

แต่ Netflix มีข้อดีอย่างหนึ่ง มีฐานสมาชิก 149 ล้านรายที่จ่ายเงินแล้ว ซึ่งการรักษาลูกค้าทำได้ง่ายกว่าการหาลูกค้าเพิ่ม

ธุรกิจของ Netflix จะอยู่ยอดได้ แต่จะจะหดตัว แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ดีที่สุดภายในสองสามปีที่ผ่านมาไม่สามารถเห็นว่ามันมูลค่าตลาดมากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ได้


และไม่ต้องแปลกใจถ้ามูลค่าหุ้น Netflix จะลดลงครึ่งหรือแย่กว่านั้นในปีหรือสองปีข้างหน้า