อีก 2 เดือนรู้ผลไทยได้เข้าร่วม “ซีพีทีพีพี” หรือไม่

  • หลัง กนศ.สั่งทุกหน่วยงานเร่งทำกรอบเจรจา
  • พร้อมทำข้อสงวน ข้อยืดหยุ่นให้เสร็จใน 2 เดือน
  • จี้เกษตร-สาธารณสุขไขข้อข้องใจเอ็นจีโอทุกประเด็น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ที่มีนายดอน ปรมัตถ์วินัยรองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ เป็นประธาน สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้พิจารณาความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมของไทยในการเข้าเป็นสมาชิกความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) โดยในประเด็นจัดทำกรอบการเจรจา รวมถึงข้อสงวน และข้อยืดหยุ่นของไทย และข้อผูกพันของความตกลงนั้น มีมติให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งทบทวนรายการข้อเสนอ ข้อยึดหยุ่น ระยะเวลาปรับตัว ข้อผูกพันต่างๆ โดยต้องหารือผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนให้ครอบคลุมและสมบูรณ์ภายใน 2 เดือน หรือในเดือนต.ค.นี้ หลังจากที่ล่าช้ามานานนับปี และเสนอให้กนศ. พิจารณา ก่อนที่ กนศ. จะรายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) 

นอกจากนี้ ยังรับทราบการจัดตั้งกองทุนรองรับผลกระทบจากเปิดเสรีทางการค้า (เอฟทีเอ) ที่ครม.เห็นชอบแล้ว และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ อยู่ระหว่างยกร่างพ.ร.บ.กองทุนเอฟทีเอ โดยจะเปิดประชาพิจารณ์เดือนส.ค.นี้ ส่วนการชี้แจงข้อกังวลของภาคประชาสังคม สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุข หารือกับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน พร้อมทบทวนข้อสงวน และข้อยืดหยุ่นต่างๆ ด้วย

สำหรับการผลักดันให้ไทยเข้าเป็นสมาชิกซีพีทีพีพีนั้น กนศ. และรัฐบาลมองว่า จะเป็นประโยชน์มาก แต่ถ้าไม่เข้าร่วมจะเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ ในขณะที่หลายฝ่าย ตั้งข้อสังเกตว่า ไทยจำเป็นต้องเข้าร่วมหรือไม่ และประโยชน์ที่จะได้รับ จะคุ้มค่ากับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการ ประชาชน และประเทศหรือไม่ เพราะปัจจุบันไทยมีเอฟทีเอกับสมาชิกซีพีทีพีพีแล้วถึง 9 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ บรูไน ชิลี มาเลเซีย เปรูสิงคโปร์ และเวียดนาม จากทั้งหมด 11 ประเทศ เว้นเพียงแคนาดา และเม็กซิโก แต่ขณะนี้ อาเซียนกำลังเจรจาเอฟทีเอกับแคนาดา ดังนั้น สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดของ 10 ประเทศได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องเข้าซีพีทีพีพี 

นอกจากนี้ ไทยแทบไม่ได้เตรียมความพร้อม หรือปิดจุดอ่อนใดๆ ก่อนการเข้าเป็นสมาชิก โดยเฉพาะประเด็นอ่อนไหวที่ยังไม่พร้อมแข่งขัน เช่น การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร, จัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐที่จะทำให้ธุรกิจของสมาชิก เข้ามาประมูลงานภาครัฐของไทยได้ ทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ถูกต่างชาติแย่งงาน, ภาคเกษตร ที่จะยิ่งเสียเปรียบ เพราะขาดเทคโนโลยี นวัตกรรม และจะทำให้สินค้าเกษตรจากทั้งแคนาดา และเม็กซิโก เข้ามาตีตลาดได้ และเกษตรกรไทยเสียหาย เป็นต้น