“อิชิตัน” ชี้โอกาสทองบุกตลาดน้ำดื่มวิตามิน ชี้โควิดดันตลาดบูมคล้ายชาเขียวตั้งเป้าผู้นำตลาดทั้งยอดขายและกำไรในปีหน้า

“ตัน อิชิตัน” ชี้ “โควิด-19” นำโอกาสทองทางธุรกิจของ “อิชิตัน” มาถึงแล้ว ด้วยการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ บุกตลาดเครื่องดื่มที่ไม่ใช่ประเภทชา (Non-Tea) เต็มรูปแบบ พร้อมกับตั้งเป้าให้ยอดขายเครื่องดื่มของบริษัทเป็นไฮซีซั่นทำยอดขายให้เติบโตได้ตลอดทั้งปี และเป็นผู้นำในตลาดภายในปีหน้า และมียอดขายในสัดส่วน 40% และชาเขียว 60% ใน 3-4 ปีข้างหน้า

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทจะรุกตลาดเครื่องดื่ม Non-Tea เต็มรูปแบบ หลังจากเห็นโอกาสทองที่เอื้อต่ออิชิตัน โดยเฉพาะตลาดน้ำดื่มวิตามิน ซึ่งในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในยุคเริ่มต้นมีผู้ประกอบการเพียงไม่กี่รายในตลาด แต่มีศักยภาพเติบโตสูงมาก ซึ่งตนมองเป็นปรากฏการณ์เหมือนตลาดชาเขียวในอดีตที่ผ่านมาที่มีการเติบโตสูงและมีการแข่งขันที่รุนแรงจนตลาดขยายตัวไปมากกว่า 10,000 ล้านบาท

“แม้ว่าตลาดน้ำดื่มโดยรวมจะได้รับผลกระทบจากโควิดตั้งแต่เดือนม.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมา ตลาดติดลบถึง -6.3% จากตลาดรวมมูลค่า 18,956 ล้านบาท มีเพียงเช็กเมนท์น้ำดื่มวิตามินเท่านั้นที่เติบโตกว่า 75% สัดส่วนตลาดที่ 1,200 ล้านบาท”

ส่งเครื่องดื่ม ICHITAN Vitamin Water C Plus E และ ICHITAN Vitt CC รุกตลาด

ล่าสุดได้ส่งเครื่องดื่ม “อิชิตัน วิตามิน วอเตอร์ ซี พลัส อี” ด้วยจุดเด่นนวัตกรรมเครื่องดื่มที่ผสานประโยชน์วิตามิน ซี 200% กับวิตามินอี 40% มี 2 ขนาด คือ 550 ML ราคา 20 บาท และ 350 ML ราคา 10 บาทนอกจากนี้ อิชิตัน วิตซีซี เครื่องดื่มวิตามินซีสูง  200% พร้อมกัน 2 รสชาติ คือ รสออเรนจ์ และรสเลมอน ขนาด 280 ML ราคา 15 บาท โดยทั้งสองผลิตภัณฑ์จะเริ่มวางตลาดแล้ว นอกจากนี้เครื่องดื่ม อิชิตัน วิตซีซีสูตรปราศจากน้ำตาลในอีกสองเดือนข้างหน้า ต่อไปไลน์อัพผลิตภัณฑ์ของอิชิตัน เครื่องดื่มประเภทชาเขียวจะมีส่วนผสมน้ำตาลน้อยหรือโลว์ชูการ์ ส่วนน้ำดื่มวิตามินจะไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือชูการ์ฟรี

สาเหตุตลาดน้ำดื่มวิตามินจะบูมเหมือนชาเขียว

นายตัน มองว่า แนวโน้มของตลาดน้ำดื่มวิตามินจะเติบโตสูงมากเหมือนชาเขียว จากเหตุผลที่สำคัญคือผู้บริโภคชาวไทยมีความเชื่อว่า เป็นเครื่องดื่มที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต้านโรคหวัด มีการรับรู้กันมากจึงตื่นตัวซื้อมาบริโภคกัน ปัจจัยนี้เร่งตลาดเติบโตได้เป็นอย่างดี ดีกว่าทางผู้ผลิตจะทำการโปรโมตถึงสรรพคุณด้วยซ้ำ   ขณะเดียวกันในยุคของการตื่นตัวเรื่องสุขภาพก็เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน การแข่งขันของผู้ประกอบการเองจะช่วยกระตุ้นตลาดอีกแรงและการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ยิ่งเร่งให้ตลาดโตรวดเร็ว

ทาง “อิชิตัน”  นับเป็นรายที่สามที่เพิ่งจะเข้าตลาดมาเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมาด้วยการส่งผลิตภัณฑ์  น้ำด่าง 8.5 ผสมวิตามินบีรวม เข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มผสมวิตามิน ได้รับผลตอบรับดีมาก

โอกาสทองขยายการเติบโตยอดขาย

ในปีนี้อิชิตันครบรอบ 10 ปีหลังจากก่อตั้งบริษัทเพื่อผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชาเขียว ในช่วง 7 ปีแรกเพลิดเพลินกับยอดขายเครื่องดื่มชาเขียวในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ทางโรงงานผลิตก็ได้มีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องจนขยายไลน์การผลิตไปถึง 7 เครื่อง กำลังการผลิตเครื่องดื่ม 1,500 ล้านขวดต่อปี ด้วยมูลค่าการลงทุนมากกว่า 8,000 ล้านบาท

แต่ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาทางภาครัฐมีนโยบายเก็บภาษีสรรพสามิตทำให้ได้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยทาง “อิชิตัน” จากผลประกอบการที่เคยทำได้สูงสุดถึงกว่า 800 ล้านบาทต่อปี กำไรลดลงหนักสุดในปี 2017 เหลือเพียง 40 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น เนื่องจากมีการลงทุนขยายกำลังการอย่างต่อเนื่องทำให้กำลังการผลิตเกินความต้องการมากจนถึงปัจจุบันเดินเครื่องในระดับ 55% ของกำลังการผลิตเท่านั้น

เป้าหมายผู้นำตลาดน้ำดื่มวิตามิน

นายตัน มีความมั่นใจว่า “อิชิตัน” จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดน้ำดื่มวิตามินได้ ในปีนี้คาดว่าตลาดนี้จะมีมูลค่า 2,000 ล้านบาท และปีหน้าเพิ่มเป็น 3,500 ล้านบาท กับเป้ายอดขาย Non-Tea ไว้ที่ 400 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ หรือ 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือน 

ด้วยเหตุผลว่าปัจจุบันผู้ผลิตในตลาดนี้ผลิตไม่พอความต้องการของตลาด มีปัญหาเรื่องการเพิ่มเครื่องจักรการผลิต โดยเฉพาะขวดแก้วบรรจุภัณฑ์จากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถสั่งซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศเข้ามาได้ ตนคิดว่าอย่างเร็วที่สุดต้องใช้เวลา 10 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นไปจึงสามารถขยายกำลังการผลิตได้

ขณะที่โรงงานของ “อิชิตัน” ที่ได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตไปก่อนหน้านี้ มีกำลังการผลิตเหลืออีกถึง 45% สามารถผลิตรองรับความต้องการของตลาดได้สบาย อีกทั้งยังมีความได้เปรียบเรื่องความสามารถในการทำกำไรสูง เพราะไม่มีต้นทุนค่าเสื่อมทางด้านโรงงานเพิ่มเติม เพราะต้นทุนนี้ได้รวมไปอยู่กับการผลิตเดิมอยู่แล้ว  ดังนั้นการตั้งราคาจำหน่ายเครื่องดื่มขนาดไซส์เล็กจำหน่ายขวดละ 10 บาท ซึ่งเป็นขนาดที่ขายดีจะมีขีดความสามารถทำกำไรได้  

“เราจึงมองว่า นี่เป็นโอกาสทองของเรา ถ้าเราขายไม่ได้ก็ต้องโทษตัวเองแล้ว ” นายตันกล่าว

มองตัวอย่าง ปตท.และอาร์เอส เพื่อฟื้นธุรกิจ

“เรามององค์กรอย่างปตท. และอาร์เอส เป็นตัวอย่างที่คลาสสิคเพื่อหาโอกาสการเติบโตทางการตลาด ซึ่งประกอบด้วย 3N คือ New Product, New Market และ New Business ซึ่งปัจจุบันการส่งออกของเราเริ่มฟื้นตัว ขณะที่ผลิตภัณฑ์คือ “นอนที” เป็นอนาคต รวมทั้งธุรกิจใหม่ที่มองไว้คือเกี่ยวกับ Body, Baby และ Beauty ซึ่งมีการพูดคุยกับพันธมิตรมาตลอด เราดูไปเรื่อย” นายตัน กล่าว

ตลาดเครื่องดื่มยังเหนื่อยต่อไปอีก 2 ปี

สำหรับตลาดเครื่องดื่มทั่วไป นั้นนายตัน มองว่ายังเหนื่อยและยังจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อีกอย่างน้อย 1-2 ปี แต่ในวิกฤตที่เกิดขึ้นมีผู้ได้รับผลกระทบนั้น ก็ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ การปรับกลยุทธ์ของอิชิตัน ก็เกิดขึ้นในโอกาสและความได้เปรียบที่มีอยู่ ต่อไปธุรกิจของอิชิตัน จะไม่ขึ้นอยู่กับเครื่องดื่มชาเขียวเพียงอย่างเดียว ปีหนึ่งมีฤดูกาลขายเพียงไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองเท่านั้น ส่วนไตรมาสที่สามและสี่เงียบ น้ำดื่มวิตามินจึงมาเติมเต็มให้ธุรกิจต่อไปขายได้ตลอดทั้งปี 

ทางด้านผลการดำเนินการของ อิชิตันในปีนี้ เนื่องจากไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้ยอดขายติดลบถึง 10% อย่างไรก็ตามเมื่อคลายล็อกดาวน์และการบุกตลาด Non-Tea ทำให้ยอดขายเริ่มฟื้นขึ้นมาตามลำดับคาดว่าสิ้นปีบริษัทจะมีอัตราเติบโตในระดับ 5% หรือเป้ายอดขายที่ 5,600 ล้านบาท