“อาคม” เผยยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ห่วงกระทบ ประชาชนเจอพิษดอกเบี้ยเงินกู้ ชี้ 3 เทรนด์ธุรกิจที่ยังมีโอกาสในอนาคต

วันนี้ (17 ส.ค.65) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ทิศทางลงทุนไทย วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น” ในงานสัมนา ถอดรหัสลงทุน ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจว่า หัวข้อในงานสัมมนาวันนี้บอกชัดเจนว่าดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 2 ครั้ง รวมถึงคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็ลงมติปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% แต่ก็ถือว่ายังไม่มาก เพราะที่ผ่านมาก็มีสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอีก 0.50% แต่ก็ยังถือเป็นทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น 

นายอาคม กล่าวต่อว่า ดอกเบี้ยที่กำลังขึ้นอยู่ขณะนี้ จริงๆไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ หากมองย้อนกลับไปก่อนวิกฤตโควิด-19 เมื่อช่วงปี 2562 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 1.25% ขณะที่ปี 2563 ก็ปรับลดลง เพื่อผ่อนคลายให้กระทรวงการคลังใช้จ่ายเงินช่วงโควิด-19 ผ่านการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 

ทั้งนี้ สำหรับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ กระทรวงการคลัง ได้เล็งเห็น 3 กลุ่มหลัก ที่อาจจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ 1. ประชาชน หากสถาบันการเงินปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ ภาระของประชาชนก็จะเพิ่มขึ้น เพราะรายได้โตไม่ทันรายจ่ายฉะนั้น มาตรการจากสถาบันการเงินที่ออกมาในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นก็จะช่วยประชาชน โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ช้าลงส่วนดอกเบี้ยเงินฝากจะปรับเร็วขึ้น ขณะที่สถาบันการเงินของรัฐก็จะคงอัตราดอกเบี้ยดูแลลูกค้านานที่สุดถึงช่วงปลายปี 2565 นี้

2.ภาคธุรกิจ และ 3. ภาครัฐ ยอมรับว่าเมื่ออัตราดอกเบี้ยต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนที่เป็นหนี้ต่างประเทศภาระก็เพิ่มขึ้นแต่คงไม่เพิ่มขึ้นเร็ว โดยกระทรวงการคลังก็มีการปรับโครงสร้างหนี้ตลอดเวลา เพื่อขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้ยาวขึ้น

ทั้งนี้ แม้ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น หากมองโอกาสก็ยังมีอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องร่วมมือกัน อาทิเช่นกระทรวงการคลังจะสนับสนุนในเรื่องมาตรการภาษี สำหรับทิศทางการลงทุนมในอนาคต ทั้งเรื่องของยานยนต์อีวีแบตเตอรี่ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยที่ผ่านมาก็ผ่อนปรนภาษีสรรพสามิตและศุลกากรให้ ขณะเดียวกันตอนนี้อยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการเรื่องการสนับสนุนในเรื่องแบตเตอรี่ 

ขณะเดียวกัน ในส่วนของเอสเอ็มอีที่ส่งออก อาจจะยังไม่รู้จักตลาดดีพอ รัฐบาลก็มีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ ช่วยในการให้ความรู้ และจัดสรรวงเงินสินเชื่อให้ รวมทั้งยังมีซอฟต์โลน ซึ่งขณะนี้ยังมีวงเงินเหลืออยู่ 60,000 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม ทิศทางดำเนินธุรกิจในอนาคตยังมีอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ 1. การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับนโยบาย BCG การระดมทุนช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นก็มีออปชั่น เช่น การออกหุ้นกู้ การระดมทุนของภาครัฐ ก็เป็นรูปแบบกรีนบอนด์ 2. สุขภาพ เทรนด์ในอนาคตจะให้ความสำคัญกับการดูแลผู้สูงอายุ และภาคัฐจะส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็กและกลางในส่วนนี้ด้วย และ 3. เทคโนโลยี เป็นสตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี จากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นเทรนด์ในอนาคต