“อาคม” ลั่นคลังเร่งพิจารณาต่ออายุลดภาษีดีเซล จ่อยิงยาวถึงสิ้นปี 65 เผยชั่งใจจะลด 1-3 บาทต่อลิตร

  • เหตุขณะนี้สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • ชี้หากปรับลดภาษี 1 บาท จะทำให้สูญเสียรายได้ประมาณ 1,900 – 2,000 ล้านบาทต่อเดือน
  • ปรับลดลง 3 บาทต่อลิตร สูญเสียรายได้ประมาณ 5,000 – 6,000 ล้านบาทต่อเดือน
  • ลั่นรัฐบาลยังบริหาร ดำเนินนโยบายภายใต้วินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด

วันนี้ (31 ส.ค.65) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว. คลัง ได้กล่าวในงาน “Bangkok Post Forum 2022 ก้าวใหม่ประเทศไทย ก้าวต่อไปบนความท้าทาย” ว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลออกไปอีกถึงสิ้นปี 65 โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังได้ปรับลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่ 5 บาทต่อลิตร และมาตรการดังกล่างนี้ จะหมดอายุในวันที่ 20 ก.ย.65 นี้ 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน จากราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง และช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศในช่วงปลายปี โดยในวันที่ 1 ก.ย.นี้ ก็จะเริ่มมีการใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 นอกเหนือจากปัจจัยหลักการขยายตัวของภาคส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง และภาคการท่องเที่ยวที่นับวันมีทิศทางที่ดีขึ้นซึ่งปีนี้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาเมืองไทยประมาณ 8-10 ล้านคน โดยทุกปัจจัยจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3% – 3.5% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 

“ขณะนี้กระทรวงการคลัง กำลังพิจารณาว่าในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า จะมีมาตรการด้านภาษีเพื่อช่วยในเรื่องของราคาน้ำมันได้อย่างใด แต่ทั้งนี้ในการออกมาตรการยังต้องพิจารณาในด้านอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของรายได้ของรัฐบาล ที่ปัจจุบันจัดเก็บได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ก็ต้องนำมาชดเชยราคาพลังงาน ด้วยการปรับลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง 3 บาท และ 5 บาท ในช่วงที่ผ่านมา” นายอาคม กล่าว

นายอาคม กล่าวต่อว่า อัตราเงินเฟ้อไทยจะขึ้นสู่จุดสูงสุดในช่วงไตรมาส 3 ปี 65 และเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 6% ดังนั้นสำหรับมาตรการระยะสั้นในช่วง 2-3 เดือนจากนี้ เพื่อช่วยเหลือด้านค่าครองชีพ รัฐบาลจะเข้าไปดูแลเฉพาะกลุ่มมากขึ้น อาทิเช่น ในส่วนของผลกระทบจากราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ลดภาษีให้ ก็จะไปดูในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบคือ กลุ่มรถรับจ้าง และกลุ่มจักรยานยนต์รับจ้าง รวมทั้งกลุ่มแท็กซี่ ที่ใช้ก๊าซ NGV ด้วย

ทั้งนี้ ใจด้านงบประมาณรายจ่ายปี 2566 ซึ่งจะเริ่มมีผลใช้วันที่ 1 ต.ค. 65 นี้ ในวงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท โดยยังเป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลที่ 6.95 แสนล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ 65 ซึ่งอยู่ที่ 7 แสนล้านบาท ทั้งนี้ก็เป็นไปตามนโยบายที่กระทรวงการคลังได้ส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อจากนี้จะต้องขาดดุลลดลงอย่างต่อเนื่อง

นายอาคม ยังกล่าวถึงหนี้สาธาณะของไทย ณ เดือน ก.ค. 65 ซึ่งอยู่ที่ 60.75% แม้ปัจจุบันจะขยายเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะเป็นไม่เกิน 70% ต่อ GDP เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้รัฐบาลสามารถใช้จ่ายได้ในกรณีฉุกเฉิน แต่ทั้งนี้สัดส่วนหนี้สาธารณะในปัจจุบันที่ยังอยู่ใกล้เคียงกรอบเดิม ที่ 60% ต่อ GDP ก็สะท้อนได้ว่า รัฐบาลยังบริหาร และดำเนินนโยบายภายใต้วินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด 

นอกจากนี้ การขยายเพดานการก่อหนี้ตาม มาตรา 28% ที่ได้ขยายเพดานเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 35% ต่องบประมาณรายจ่ายประจำปีนั้น เพื่อให้รัฐบาลสามารถเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่ราคาข้าวตกต่ำ ผ่านโครงการประกันรายได้ ซึ่งการขยายเพดานดังกล่าว เป็นการขยายเพดานเป็นการชั่วคราว ดังนั้นเมื่อนำงบประมาณชำระหนี้ที่ตั้งไว้ในงบประมาณปี 66 มาชำระคืนได้ ก็จะทำให้สัดส่วนหนี้ที่ก่อขึ้นปรับลงมาอยู่ที่ 30% ในปีงบประมาณ 66 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายอายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ระหว่าง 1 – 3 บาทต่อลิตร เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกขณะนี้ ได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบต่ำกว่า 100 เหรียญฯต่อบาเรล มาอยู่ที่ 96.88 เหรียญฯต่อบาเรล ซึ่งหากรัฐบาลปรับลดภาษีลง 1 บาท จะทำให้สูญเสียรายได้ประมาณ 1,900 – 2,000 ล้านบาทต่อเดือน และหากปรับลดลง3 บาทต่อลิตร ก็จะสูญเสียรายได้ประมาณ 5,000 – 6,000 ล้านบาทต่อเดือน แต่หากคงอัตราปรับลดไว้ที่ 5 บาทต่อลิตรเช่นเดิม จะทำให้สูญเสียรายได้ประมาณ 9,000 – 10,000 ล้านบาทต่อเดือน 

ทั้งนี้หากรัฐบาลขยายอายุมาตรการถึงสิ้นปี 65 ก็จะสูญเสียรายได้ประมาณ 6,000 – 30,000 ล้านบาท