“อาคม” ยันเสียงแข็ง! ไทยไม่ได้บิดเบือนค่าเงินบาท ไม่สนสหรัฐฯจัดให้อยู่ watchlist

  • ย้ำเรื่องนี้ “แบงก์ชาติ” ชี้แจงไปมากแล้ว ลั่นไทยบริหารจัดการโดยปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด
  • พร้อมยันเศรษฐกิจไทย ไม่เข้าสู่ภาวะ Stagflation
  • ชี้ขณะนี้การจ้างงานเริ่มกลับมา เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยถึงกรณีที่สหรัฐฯ จัดให้ประเทศไทยอยู่ในลิสต์ประเทศที่บิดเบือนค่าเงินว่า เรื่องนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไปมากแล้วว่า ไทยไม่ได้เป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงินและใช้แนวทางบริหารอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวแบบมีการจัดการ หรือ Managed Float 

โดยเรื่องนี้ ทาง ธปท.ชี้แจงไปมากแล้วในเรื่องที่ไทยไม่ได้เป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน โดยประเทศไทยบริหารจัดการโดยปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ถ้าสหรัฐฯ จะจัดให้ไทยอยู่ใน watchlist ก็อยู่ไป

ทั้งนี้ นายอาคม ยังยกตัวอย่างเรื่องการบริหารจัดการค่าเงินแบบ Managed Float ว่า เวลาค่าเงินบาทแข็ง เราก็พยายามส่งเสริมให้คนไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งมันไม่ได้มีข้อห้ามอะไร ในเมื่อสหรัฐฯเอง ต่างก็ไปลงทุนต่างประเทศเหมือนกัน หรือกรณีไทยสั่งซื้อของจากสหรัฐฯ ก็ถือเป็นประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

“ปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้ทำ manipulate ซึ่งการทำแบบนี้หมายถึงเรื่องของการทำให้ค่าเงินบาทอ่อน โดยที่ขายดออลลาร์หรือซื้อดอลลาร์เข้ามาเหมือนสมัยที่ไทยต้องปกป้องค่าเงิน เมื่อปี 2540 ซึ่งแบบนั้นไม่ทำแล้ว” รมว.คลังกล่าว

สำหรับปัญหาเงินเฟ้อในขณะนี้ นายอาคม กล่าวว่า เรื่องของเงินเฟ้อนั้นเกิดขึ้นทุกประเทศ บางประเทศก็ไม่ให้ความช่วยเหลือ ปล่อยให้เป็นไปตามกลไก เพราะว่าราคาของขึ้นไปแล้ว เมื่อดีมานด์และซัพพลายเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าที่ปรับขึ้นไปก็จะลดลงเอง 

ทั้งนี้ในส่วนที่มีความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อและเงินฝืดพร้อมๆกัน หรือ Stagflation นายอาคม กล่าวว่า ประเด็นตบอดนี้คือราคาสินค้าปรับขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ถามว่ายังสามารถขายของได้เยอะไหม จีดีพีโตไหม ถ้าจีดีพีไทยเราโต แสดงว่า เรามีรายได้ เพียงแต่ว่า ความสามารถในกำลังซื้อลดน้อยลง 

ทั้งนี้หากเป็นภาวะเงินฝืด มันหมายความว่า ราคาสินค้าก็ขึ้น จีดีพีก็ลด คนก็ว่างงาน แต่ของประเทศไทย ณ ขณะนี้นั้นเศรษฐกิจกำลังค่อยๆฟื้นตัวขึ้น