อสังหาฯไทยยังทรงตัว เชื่อยังมีหวังปัจจัยบวกช่วยกระตุ้นตลาด แนะรัฐเปิดโอกาสให้ตลาดบ้านมือสอง

  • เน็กซัสฯวิเคราะห์ตลาดอสังหาฯไทยเจอปัจจัยลบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน
  • ชี้มาตรการLTV ยังออกฤทธิ์ส่งผลผู้ประกอบการเร่งปรับตัวครึ่งปีหลัง
  • แนะรัฐลดค่าธรรมเนียมการโอน-ภาษีธุรกิจเฉพาะพร้อมเปิดโอกาสบ้านมือสอง

นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ต้นปี2562 เป็นต้นมา คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีตลาดยังคงเผชิญภาวะความไม่แน่นอน ซึ่งหากดูในภาพรวมของเศรษฐกิจโลก เรื่องของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้จีนต้องลดค่าเงินหยวน และกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนจีนในตลาดต่างชาติ รวมถึงประเทศไทยด้วย

อีกทั้งความไม่สงบทางการเมืองในฮ่องกง ทำให้เกิดภาวะหยุดชะงักของการลงทุนในไทยด้วยเช่นกันประกอบกับค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อสังหาริมทรัพย์ไทยมีราคาสูงขึ้น แต่ด้วยตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยมีกลุ่มผู้บริโภคหลักคือผู้บริโภคภายในประเทศ ทำให้ประเมินได้ว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก อาจมีผลต่อตลาดอสังหาฯไทยไม่เกิน10-15%ของตลาดที่อยู่อาศัยรวมเท่านั้น แม้จะไม่ส่งผลต่อภาพรวมตลาดแต่มีผลกระทบต่อตลาดทุนไทยแน่นอน

นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์

นอกจากปัจจัยลบภายนอกประเทศแล้ว ปัจจัยภายในประเทศอย่างมาตราการ LTVและหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ก็ยังเป็นปัจจัยลบที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากตั้งแต่รัฐบาลประกาศว่าจะมีการใช้มาตราการLTVเพื่อมาสกัดการเก็งกำไรในกลุ่มนักลงทุน(มีผลบังคับใช้1เม.ย.ที่ผ่านมา)ผู้บริโภคต่างก็เร่งก่อหนี้เพื่อให้ทันก่อนที่มาตรการจะมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้เกิดการหดตัวลงของการอนุมัติสินเชื่อนับตั้งแต่ในช่วงไตรมาส2ของปีที่ผ่านมา ซึ่งหากไม่มีการผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว คาดว่าในช่วงที่เหลือของปี ตลาดอสังหาฯ จะไม่สามารถเติบโตได้เหมือนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นางนลินรัตน์ กล่าวว่า เมื่อมาพิจารณาในส่วนของมาตรการLTVพบว่านับตั้งแต่มาตราการมีผลบังคับใช้ตลาดมีการชะลอตัวลงในทุกประเภทสินค้า ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียม ในทุกระดับราคา เนื่องจากผู้ซื้อต้องพิจารณาถึงความสามารถในการกู้ของตนเองมากขึ้น ซึ่งก็เป็นสาเหตุให้ผู้ประกอบการรายใหญ่รายกลางต่างออกมาประกาศผลกระทบจากมาตรการที่มีต่อธุรกิจ และเรียกร้องให้มีการผ่อนปรนนโยบายดังกล่าว

อย่างไรก็ตามตลาดก็ยังคงมีปัจจัยบวกมาสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง0.25%ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการโดยตรง กล่าวคือสามารถยื่นขอสินเชื่อโดยมีต้นทุนที่ต่ำลง ในขณะที่ผู้กู้รายย่อยก็สามารถยื่นขอสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเช่นกัน อีกทั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยังเป็นรัฐบาลขั้วเดิม ทำให้เกิดความต่อเนื่องในการสานต่อนโยบายต่างๆ ทั้งด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ระบบขนส่งมวลชนโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ

แม้ว่าตลาดจะมีปัจจัยบวกแต่ก็ยังส่งผลดีกับตลาดอสังหาฯในสัดส่วนที่น้อยกว่าปัจจัยลบ ดังนั้นจึงอยากร้องขอรัฐบาลให้ช่วยกำหนดมาตรการช่วยกระตุ้นตลาดในช่วงที่เหลือของปี เช่นการพิจารณาลดค่าธรรมเนียมการโอนและภาษีธุรกิจเฉพาะให้กับอสังหาฯที่พร้อมโอนในปีนี้ เป็นการช่วยกระตุ้นให้ผู้มีกำลังซื้อที่ผ่านเงื่อนไขLTVสามารถมีต้นทุนการซื้อที่ต่ำลง ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถระบายสินค้าที่เสร็จแล้วได้ โดยกำหนดให้สามารถลดค่าธรรมเนียมดังกล่าวในอสังหาฯทุกระดับราคา ตลอดจนการให้สิทธิพิเศษกับอสังหาฯมือสองบ้าง เนื่องจากตลาดบ้านมือสองของไทยยังคงไม่เติบโตมากทั้งๆที่เป็นโอกาสให้ผู้ซื้อได้ซื้ออสังหาฯคุณภาพดี ที่มีขนาดใหญ่กว่าสินค้าใหม่ในปัจจุบัน ในราคาใกล้เคียงกับราคาปัจจุบัน บนทำเลที่มีศักยภาพ ก็น่าจะช่วยให้ตลาดมีการขยายตัวได้ดีขึ้น