อย่าลามหมอ!“ศุภชัย” ซัดกลับ “วิโรจน์” ปม พ.ร.ก. ปกป้องคนทำงาน-ย้ำ!อ่านให้ชัดกฎหมายไม่ละเว้นคนทำผิด

นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย และ ส.ส.บัญชีพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงจากกรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ออกมา วิพากษ์วิจารณ์เรื่องร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างต่อเนื่องว่า ในเรื่องดังกล่าว ประเด็นแรก กฎหมายนี้ ยังไม่ไปไหน ยังอยู่ในขั้นตอนยกร่างที่ยังไม่แล้วเสร็จ ที่เอาวิจารณ์กัน เป็นตัวนำเสนอ มีอยู่ 7-8 หน้า ไม่มีรายละเอียด ไม่ใช่ฉบับเต็ม แต่ฝ่ายการเมืองนำไปปลุกปั่นให้เป็นกระแสรายวัน วานนี้ มาอ่านที่นายวิโรจ กล่าวถึงกฎหมายวุ้น ก็ตามสไตล์เดิมๆ ดุดัน เอาใจแฟนคลับ ระหว่างที่อ่าน ตนไม่ติดใจอะไรเลย เพราะรู้ว่านายวิโรจน์เป็นคนไม่มีอะไร ไม่งั้นคงไม่ได้ฉายาว่า “วิโรจน์กราบอก” กระทั่งมาถึงท่อนที่นายวิโรจน์พูดว่า

“ใครในคณะกรรมการชุดใดที่ให้ความเห็นให้ประเทศไทยไม่เข้าร่วมโครงการ COVAX คนกลุ่มนั้นไม่ควรลอยนวลและไม่ควรได้รับการปกป้องจากกฎหมายพิเศษเหล่านี้”

ชัดเจนว่า นายวิโรจน์ไม่ได้ล็อกเป้าที่นายอนุทิน พลเอกประยุทธ์ ฝ่ายการเมืองแล้ว แต่กำลังลามไปเล่นงานถึงหมอ อาจารย์แพทย์ คณะผู้เชี่ยวชาญที่เข้ามาช่วยในเรื่องเกี่ยวกับวัคซีนด้วยทั้งที่ ทุกท่านที่เข้ามานั้น ล้วนเข้ามาด้วยใจบริสุทธิ์ นำความรู้ นำมันสมอง มาช่วยเหลือประเทศชาติ แต่กลับถูกคนอย่างนายวิโรจน์ ซึ่งใครๆ ก็เรียกว่าเป็นพวกมือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ มาทำให้มัวหมอ ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ถามว่าเรื่องวัคซีน COVAX คณะผู้เชี่ยวชาญได้อธิบายไปบ่อยครั้งมากว่า

ถ้าเราเข้าไป ก็ต้องเสียเงินสูงกว่าซื้อตรง กำหนดวันรับของไม่ได้ และอาจได้วัคซีนเพียง 1 ล้านโดส ซึ่งก็เป็นค่าเฉลี่ยการกระจายวัคซีนจาก COVAX ให้ประเทศต่างๆ แต่นายวิโรจน์ กลับพูดซ้ำๆ ว่า การไม่เข้า COVAX คือ ความล้มเหลว ต้องเอาคนรับผิดชอบไปรับผิด ซึ่งไม่ถูกต้อง หมอนคร เปรมศรี ผอ.ส.วัคซีน เคยกล่าวว่า ที่ตอนนั้น ไม่เข้าร่วม เพราะสถานการณ์วัคซีนโลกนั้น ผู้ผลิต ไม่ได้ให้ความสำคัญกับโครงการนี้มากนัก ส่วนใหญ่ ขายตรงกับแต่ละชาติไปเลย หากไทยเข้าไป ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงจาก COVAX ไปด้วย แต่ที่เรากำลังพิจารณาเข้า เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ผู้ผลิต กลับมาให้ความสำคัญกับ COVAX COVAX กลับมามีความสำคัญ ไทยจึง ต้องพิจารณา เข้าไปจอย

มีการพูดว่า อย่าปล่อยให้คณะกรรมการชุดนั้น ชุดนี้ ลอยนวล เสมือนว่า คุณหมอ ทีมแพทย์ บุคลากร ทำผิดไปแล้ว ทั้งที่คุณหมอทั้งหลาย ก็มุ่งมั่นทำงานเต็มที่แน่นอน แต่เรา ต้องเจอกับโรคใหม่ อะไรที่คิดว่าถูกวันนี้ วันข้างหน้าก็อาจจะไม่ใช่ เพราะเชื้อมันกลายพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งโลก ก็ตามไม่ทัน สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นทั่วโลก และเขาเชิดชูคนทำงาน แต่ที่ประเทศไทย คนทำงาน กลายเป็นคนผิด มันเป็นธรรมไหม
“คุณมีปัญหากับข้อ 7 ที่ระบุว่า จะคุ้มครองให้บุคคล และคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้ง หรือมอบหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหา หรือบริหารวัคซีน คุณมองว่า กฎหมายฉบับนี้ปกป้องฝ่ายการเมือง ปกป้องทีมแพทย์ในคณะผู้บริหาร แต่ให้ตั้งสติ เพราะเอาเข้าจริง ผู้ที่เข้าเกณฑ์ตามกฎหมายฉบับนี้ มีไปจนถึงคณะแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชน ที่มีหน้าที่จัดหาวัคซีน คณะแพทย์ ใน สถาบันจุฬาภรณ์ ที่มีหน้าที่จัดหาวัคซีน กฎหมายฉบับนี้ จะช่วยให้การจัดหาวัคซีนได้รับความสะดวกขึ้น เพราะคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องได้รับการคุ้มครอง กรณีที่ทำอย่างซื่อสัตย์สุจริต คุณเรียกร้อง ให้มีการนำวัคซีนเข้ามามากๆ แต่พอ รัฐจะเดินหน้า หาทาง ทำให้คนทำงานในส่วนนี้เกิดความมั่นใจ คุณก็เข้าไปขัดขวาง ยกประเด็นการเมืองมาตีขลุมโจมตีทั้งหมด มันไม่ถูกต้อง ซึ่งก็อย่างที่บอกว่ากฎหมายนี้ มันไม่ได้นิรโทษใครเลย เพราะมันยังไม่มีใครทำผิด และมัน ก็มีช่องให้ฟ้องคนทำผิดให้ได้รับโทษอย่างที่กล่าวไปแล้ว”

อันที่จริง นายวิโรจน์ เป็นนักบิดเบือนสังคม ร่างกฎหมายที่กำลังมีปัญหา ในเอกสารก็เขียนชัด ว่า คนทำผิด ทุจริต บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ ร่างกฎหมายระบุชัด ว่าให้เอาผิด ทำไมนายวิโรจน์ไม่พูด คำตอบคือ ถ้าพูดออกไปแล้ว ทุกอย่างที่นายวิโรจน์พูดมา จะไม่มีความหมาย ไร้ค่า ไร้ราคา ขึ้นมาทันที เพราะนายวิโรจน์พยายามจะกล่าวหาว่าเป็นกฎหมายล้างผิด เอาผิดใครไม่ได้เลย ซึ่งไม่ใช่ ที่ร่างกฎหมาย ก็เขียนไว้ชัดว่าการกระทำแบบไหนบ้างที่ต้องรับโทษ ไม่ได้รับการละเว้น แต่นายวิโรจน์ตั้งใจจะหมกไว้ บิดเบือน

“การที่นายวิโรจน์ ให้ข้อมูลไม่ครบ มิใช่ว่านายวิโรจน์ไม่รู้ เขาไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นคนที่ถูกการเมืองกัดกินจนมองไม่เห็นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม วันนี้ ประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโควิดของเราดีมาก มียอดสูญเสียน้อยกว่านานาชาติกว่า 2 เท่า 2 เดือนที่ผ่านมา ไทยลุยฉีดวัคซีนได้ถึง 16 ล้านโดส นายวิโรจน์เคยสนใจหรือไม่ หรือนายวิโรจน์ มีต่อมปฏิเสธ เรื่องบวกในสังคม เพราะหัวใจที่มืดดำ ตาที่มืดบอด ด้วยอคติทางการเมือง”