“อนุทิน” เผย 4 กุมภาฯ นี้ พิจารณาฉีดวัคซีนเด็ก 3 ขวบ ขอมั่นใจผู้เชี่ยวชาญตัดสินใจ

  • เร่งทำความเข้าใจประชาชนเรื่องโควิดจะเป็นโรคประจำถิ่น
  • ย้ำเราต้องอยู่ร่วมกับโรคให้ได้
  • ฉีดวัคซีนให้เด็ก มีแพทย์ให้คำแนะนำ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการให้บริการวัคซีนโควิด 19 สำหรับผู้เยาว์อายุ 3 ขวบขึ้นไป โดยระบุว่า ตอนนี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ได้ข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิตแล้ว และวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ อย. จะประชุมพิจารณาในรายละเอียด ไปจนถึงแนวทางการใช้ นี่ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน เนื่องจากผู้ปกครองบางส่วน ก็ต้องการให้บุตรหลานฉีดวัคซีนเชื้อตาย อย่างซิโนแวค บางคนก็ต้องการให้ฉีด mRNA ทางภาครัฐ ก็ต้องการตอบสนองความต้องการของประชาชน ซึ่งหากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญอนุมัติ ไม่จำเป็นต้องมีการสั่งซื้อเพิ่มเติม สามารถใช้วัคซีนซิโนแวคที่มีอยู่แล้วได้ เนื่องจากเป็นสูตรเดียวกัน ไม่เหมือนวัคซีนไฟเซอร์ที่มีสูตรฝาสีม่วงสำหรับผู้ใหญ่และฝาสีส้มสำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี

“ทั้งนี้ การฉีดนั้นขอสงวนสิทธิ์ให้เป็นตามดุลยพินิจของแพทย์ ในการฉีดวัคซีนให้เด็ก เรามีคณะกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันวัคซีนฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นคณะกรรมการวิชาการที่ สธ. และ รัฐบาลเชื่อถือว่ามีความรู้ มีประสบการณ์ทางการแพทย์มากเพียงพอในการให้คำแนะนำแนวทางการใช้วัคซีนให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด ขอให้ประชาชนมั่นใจ”

ส่วนเรื่องการทำให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ได้ฝากให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต) ได้ทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องวัตถุประสงค์ต่างๆ ที่จะต้องประกาศออกมา สาระคือต้องชี้แจงว่าจะทำอย่างไร ให้อยู่ร่วมกับโรคได้ เราจะควบคุมความรุนแรงของโรคได้อย่างไร ควบคุมอัตราการเสียชีวิตได้อย่างไร ร่วมไปถึงการเจ็บป่วยหนักด้วย ต้องสื่อสารให้เห็นถึง ความพร้อมของยาเวชภัณฑ์ การรักษา ให้ประชาชนรู้ถึงแนวทางการบริหารจัดการของเรา ไปพร้อมกับการส่งเสริมการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ

ขณะที่มีความกังวลเรื่องการเดินทางเข้าประเทศผ่านมาตรการ Test and GO ขอย้ำว่า เรายังทำทุกอย่าง โดยคำนึงถึงความปลอดภัย เราตรวจ RTPCR กับนักเดินทาง 2 ครั้ง คือ วันที่ 1 กับวันที่ 5 ของการเดินทางถึงประเทศไทย ระหว่างที่รอตรวจซ้ำครั้งที่ 2 อยู่ในระบบการติดตามผ่าน Thailand Pass ซึ่งเป็นการลงทะเบียนก่อนเดินทางมาถึงไทย นอกจากนั้น ต้องมีหลักฐานการจองโรงแรมในการตรวจทั้ง 2 ครั้ง ทางโรงแรมเองก็ต้องติดตามในส่วนนี้อยู่แล้ว จึงสามารถสร้างความมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัย โดยนักชาวต่างชาติ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามาตรการของไทย มีความเข้มข้นมาก

เมื่อถามเรื่องการคลายล็อก เพิ่มเติม นายอนุทิน กล่าวว่า จะพิจารณาตามสถานการณ์ เพื่อให้เศรษฐกิจ ขยับได้ แต่สำหรับคาราโอเกะ ผับบาร์ ก็ยังต้องควบคุม เพราะอย่าลืมว่า คลัสเตอร์ จำนวนมาก มาจากสถานบันเทิง เมื่อใดก็ตามที่สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดี ได้รับความร่วมมือจากประชาชน กรมควบคุมโรค จะเสนอให้มีการผ่อนคลายอยู่แล้ว ทุกวันนี้ ก็ให้เปิดเป็นร้านอาหารได้ เพียงแต่ต้องทำตามกรอบที่ให้ไว้