วันที่ 22 กันยายน 2564 นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย (สร.) กล่าวถึงมติคณะกรรมการวินัยการเงินการคลัง ให้ขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ของจีดีพี ว่า การปรับเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70% ต่อจีดีพีนั้น เพื่อเตรียมกู้เงินเพิ่มอีกเป็นการสร้างมาตรฐานวิบัติให้กับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยวินัยการเงินการคลังถือเป็นกฎเหล็กที่รัฐบาลต้องรักษา แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กลับทำตรงข้ามคือกู้แล้วกู้อีก แล้วนำไปใช้อย่างล้างผลาญ ไม่มีประสิทธิภาพซึ่งในอนาคตก็คาดว่าจะทะลุเพดานขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ซึ่งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ได้ก่อหนี้สาธารณะรวมกันแล้วเป็นจำนวนเงินก้อนใหญ่มากเรียกว่าต้องใช้กันไปอีกเป็นร้อยปี ก็อาจจะยังไม่หมด
“ถ้าเอาจำนวนหนี้หารด้วยจำนวนประชากรก็จะพบว่าคนไทยทุกคนต้องแบกรับหนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะรัฐบาลไม่เคยแสดงศักยภาพและความสามารถในการหาเงินมาใช้หนี้ได้เลย ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มสูงขึ้นจนน่าวิตกและเป็นหนี้ของประชาชนคนไทยตาดำๆ ทุกคนทั้งที่หาเช้ากินค่ำ มนุษย์เงินเดือนและเจ้าของกิจการที่ต้องจ่ายภาษีและการนำรายได้เหล่านี้มาชดใช้หนี้แทนที่จะนำรายได้หมุนคืนกลับมาเป็นสินค้าและบริการสาธารณะให้กับประชาชนผู้เป็นเจ้าของภาษี” นพ.เรวัต กล่าว
นพ.เรวัต กล่าวต่อว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของประชาชน ไม่ได้สนใจหนี้ สาธารณะ ไม่ได้สนใจแม้แต่กฎหมายบ้านเมืองที่กำหนดไว้อย่างเคร่ง คนไทยจึงมองไม่เห็นอนาคต โดยเงินที่กู้มาแล้วทั้ง 1 ล้านล้านบาท และ 5 แสนล้านบาทก็ยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรมใดๆ รัฐบาลบอกว่าจะเอาเงินเหล่านี้ไปเยียวยาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด แต่ปรากฏว่าธุรกิจกำลังจะตายกันหมดไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจกลางคืน เอสเอ็มอี
และที่เคยประกาศว่าจะนำเงินไปแก้ปัญหาโควิดวันนี้ต้องถามว่าวัคซีนอยู่ที่ไหน ส่วนใหญ่คือตัวเลขในอนาคตที่ไม่ได้มีอยู่จริงในปัจจุบัน ยุทธศาสตร์การฉีดก็ไม่ชัดเจน ไม่ยึดมั่นในหลักการที่ต้องฉีดกลุ่มเสี่ยงให้ครบก่อนจึงจะกระจายไปไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย วัคซีนที่ประชาชนต้องการก็ไม่ซื้อ แต่ไปซื้อชนิดที่ประชาชนข้องใจสงสัย
“คุณประยุทธ์บริหารประเทศจนคนไทยสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะไม่มีปัญญาหาเงินจึงต้องกู้เงินมาใช้เพียงอย่างเดียวคุณประยุทธออกไปได้แล้ว อย่าหาทำเลย” นพ.เรวัต กล่าว
