“หนุ่มสาวทัวร์” ชี้ไตรมาส 2 ไทยเฮเที่ยวนอกฮ็อตสุด 5 ประเทศจับมือคาเธย์ฯขายตั๋วบินกรุงเทพฯ-ฮ่องกงซื้อ 1 แถม 1 เริ่ม 1 เม.ย.

  • หนุ่มสาวทัวร์ผ่าตลาดไทยเที่ยวนอกไตรมาส 2 ปี’66 ยอดขายฮ็อตสุด 5 ประเทศ “ญี่ปุ่น-ไต้หวัน-เวียดนาม-เกาหลี-สวิสเซอร์แลนด์”
  • ผนึกคาเธย์แปซิฟิกขายสงกรานต์” 1-30เม..66เทโปรตั๋วบินฮ่องกงซื้อ1แถม1จ่ายแค่คนละ7,500บาท
  • ร่วม TRUE กับ DTAC โปรโมตชุดใหญ่ ครึ่งปีหลัง “ไมซ์อินเซนทีฟกับทัวร์เรือสำราญ” มาแรง ครอบครัววัยรุ่นแห่จองเพียบ
  • รวมถึง “ไทยยุบสภาเลือกตั้งใหม่” กับ “วิกฤตการเงินโลก” แบงก์ล้มขึ้นดอกเบี้ยเงินเฟ้อ ธุรกิจทัวร์ไทยไม่สะเทือน

นายโชติช่วง ศูรางกูร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด เปิดเผยว่า แผนดำเนินธุรกิจท่องเที่ยวของหนุ่มสาวทัวร์ช่วงครึ่งหลังปี 2566 ประเมินแนวโน้มคนไทยเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ (outbound) จะมี 3 ตลาดหลัก คือ ตลาดแรก” กรุ๊ปเหมาไมซ์เดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Incentive) ไม่ใช่นักท่องเที่ยวพักผ่อนทั่วไป (leisure) จุดหมายปลายทางยอดนิยมติดท็อปไฟฟ์ 5 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เวียดนาม เกาหลี สวิสเซอร์แลนด์  ช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ ทางตะวันตกตรงกับฤดูใบไม้ผลิเริ่มเมษายนนี้คนไทยจะเลือกเที่ยวยุโรปเพราะใช้วันหยุดยาวต่อเนื่องเพื่อการพักผ่อนอย่างคุ้มค่ามากสุด

ตลาดที่ 2 นักท่องเที่ยวเรือสำราญ เดือนเมษายนนี้จะมีเรือ COSTA CRUISE จากอิตาลี เข้ามาเทียบท่าที่แหลมฉบังคนไทยต่างเลือกซื้อแพกเกจท่องเที่ยวเรือดังกล่าวจำนวนมากพอสมควร เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกบริการ เป็นจังหวะคลายกังวลจากโควิด-19 ด้วยจึงกลับมาเดินทางเพิ่มขึ้นอีกครั้ง มีทั้งขึ้นเรือในไทยและบินไปขึ้นเรือที่สิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป จะมีกลุ่มนักเดินทางที่มีไลฟ์สไตล์เทรนด์ใหม่ 2 กลุ่ม คือ “กลุ่มวัยหนุ่มสาว” ชื่นชอบครุยส์ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเอนเตอร์เมนท์เชิงกิจกรรมครบวงจร ไม่ใช่กาสิโนเหมือนอดีต และ “กลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่” ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ต่างจากเดิมชอบเดินทางพร้อมกันพ่อแม่ลูก

สนน “ราคาแพกเกจเรือสำราญ” ประมาณ 4-5 วัน/ทริป ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นรวมค่าทิปเรียบร้อยแล้วประมาณคนละกว่า10,000 บาทขึ้นไป โดยมีจุดขายดึงดูดมากกว่าคือเรือเป็นโรงแรมเคลื่อนที่ไปกับนักท่องเที่ยวได้ตลอดเวลา แตกต่างจากโรงแรมบนฝั่งซึ่งพอคนจองพักแล้วออกไปเที่ยวข้างนอกกลับมาใช้บริการได้ครั้งละไม่กี่ชั่ วโมง จึงไม่ค่อยได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกอย่างคุ้มค่าเหมือนพักในเรือสำราญนานาชาติ

นายโชติช่วงกล่าวว่าทางหนุ่มสาวทัวร์ทำโปรแกรมต้อนรับ “เทศกาลสงกรานต์” โดยจับมือกับสายการบิน “คาเธย์แปซิฟิก” ของฮ่องกง ซึ่งทำเวิลด์ไวด์ แคมเปญ “ซื้อ 1 แถม 1” โดยได้รับเลือกเป็น 1 ในเอเย่นต์ที่จะขายตั๋วบินไปกลับ กรุงเทพฯฮ่องกง เปิดจอง 1-30 เมษายน 2566 ราคาตั๋วเครื่องบินรวมภาษีต่าง  แล้ว ประมาณ 13,000 บาท เฉลี่ยแค่ที่นั่งละประมาณ 7,500 บาทเท่านั้น สามารถซื้อตรงโดยโทรศัพท์สอบถามพนักงาน ผ่านออนไลน์ และแอดไลน์หนุ่มสาวทัวร์ ได้ทุกช่องทาง

มหกรรมแคมเปญนี้ทาง “คาเธย์ แปซิฟิก” ยังได้ร่วมกับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมจัดเส้นทางเที่ยวต่อเนื่องด้วย ได้แก่หมู่บ้านนองปิง 360 องศา ดิสนีย์แลนด์ซึ่งปรับโฉมใหม่มีเซอร์ไพรส์มากกว่าเดิม ส่วนหนุ่มสาวทัวร์ ร่วมกับ 2 ค่ายมือถือ คือ TRUE และ DTAC ช่วยกันโปรโมตการท่องเที่ยวภาพรวมทั้งระบบแบบครบวงจร

นายโชติช่วงกล่าวว่า ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้มี “ตัวแปรหรือปัจจัย” ที่มีผลต่อคนไทยเลือกเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นคือ“Air Travel ของสายการบิน” ตั้งแต่เมษายน 2566 เห็นสัญญาณสายการบินนานาชาติเพิ่มเส้นทางและความถี่เที่ยวบิน ไปกลับ ไทยสู่ปลายทางต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย  สอดคล้องกับดีมานต์ความต้องการของคนไทย และเมื่อมีเที่ยวบินบริการเพิ่มขึ้นจึงเกิดปรากฏการณ์ใหม่ 2 เรื่อง คือ

เรื่องแรก ราคาตั๋วโดยสารเครื่องบินถูกลง” จะปรับลดลงตามกลไกตลาด ตัวอย่าง ไป กลับ ไทยญี่ปุ่น ลดลงมาแล้วประมาณ 10 % สามารถซื้อได้ในราคาเริ่มต้นไม่ถึง 20,000 บาท แตกต่างจากก่อนหน้านี้สูงมากเริ่มที่ 30,000-40,000-50,000 บาท เรื่องที่ 2 นักท่องเที่ยวคนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมจองตั๋วไว้ล่วงหน้ายาว ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้หากซื้อเก็บไว้จะได้ราคาดีกว่าซื้อตอนใกล้ออกเดินทางซึ่งราคาจะปรับสูงขึ้นมาก

ตอนนี้ญี่ปุ่นยังเป็นจุดหมายของคนไทยเดินทางท่องเที่ยวโดยลำพัง (F.I.T.) ได้ง่ายทุกเมือง ผนวกกับการนำโปรแกรมทัวร์ญี่ปุ่นไปกระตุ้นขายในตลาดไมซ์อินเซ็นทีฟได้ง่ายกว่าประเทศอื่น  ส่วน “เกาหลีใต้” ตอนนี้อินเซนทีฟไทยยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากยังกังวลเรื่องความเสี่ยงอาจจะต้องถูกส่งกลับตั้งแต่ถึงสนามบิน หากเดินทางพร้อมกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่นับ 100 คน/ทริป แล้วมีหนึ่งในจำนวนนี้เจอด่านตรวจคนเข้าเมืองสนามบินไม่ให้ผ่านก็จะมีผลกระทบต่อความรู้สึกของคนในกลุ่มด้วย

นายโชติช่วง กล่าวว่า ส่วนการทำตลาดคนไทยเที่ยวไทย หลังรัฐบาลเปิดโครงการจอง “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 5” ให้คนไทยเที่ยวในประเทศตลอดเมษายน 2566 ไม่น่าจะมีผลส่งทำให้ “คนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศ” ลดลงเพราะคนมีกำลังซื้อระดับกลางและสูงก็ยังคงวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าระยะยาวเพื่อไปต่างประเทศมากกว่า แต่เราเที่ยวด้วยกันจะให้อานิสงกับธุรกิจห้องพักโรงแรมขนาดกลางและขนาดเล็กมากกว่า เพราะโรงแรมขนาดใหญ่ถึงจะปรับราคาห้องพักลงมาแล้วแต่ก็ยังสูงอยู่นั่นเอง

ส่วน 2 ปัจจัยที่ได้รับการจับตา ปัจจัยแรก ภายในประเทศ “การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ก่อน 14 พฤษภาคม 2566 ในฐานะเอกชนท่องเที่ยวประเมินสถานการณ์ไม่น่าจะกระทบทั้งตลาดคนไทยไปต่างประเทศ คนไทยเที่ยวไทย หรือคนทั่วโลกมาเที่ยวเมืองไทย ซึ่งอ่อนไหวกับการซื้อ “ประกันเดินทางท่องเที่ยว” จะคุ้มครองหรือไม่ หากมีกรณีเมื่อเดินทางเข้ามาแล้วมีประกาศภาวะฉุกเฉิน

ปัจจัยที่สอง ระหว่างประเทศจาก “เหตุการณ์วิกฤตการเงินโลก หลังเหตุการณ์ธนาคารซิลิคอน  วัลเลย์ (SVB) ในสหรัฐอเมริกาล้ม เครดิตสวิสแบงก์ สวิสเซอร์แลนด์ ถูกซื้อกิจการ และธนาคารสหรัฐ (FED) ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีกรอบ ซึ่งตอนโควิด-19 ดอกเบี้ยทั่วโลกชะลอตัว พอตอนนี้ขยับดอกเบี้ยขึ้นมาประมาณ 4 % ผนวกกับบริษัทเทคโนโลยีแห่ถอนเงิน เป็นเพียงปรากฏการณ์ “สร้างดุลยภาพใหม่” และทางรัฐบาลสหรัฐเข้ามาอุ้มอย่างรวดเร็ว ด้วยการอัดฉีดเงินเข้าระบบ ทำให้ปัญหาจะหมดได้ในเร็ววัน ดังนั้นจึงไม่น่าจะกระทบกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในไทย

แต่เหตุการณ์การเงินโลกอาจจะต้องเฝ้าระวังปัญหาที่จะมากระทบต่อเนื่องกับ “กลุ่มตลาดไมซ์ต่างประเทศเข้าไทย” โดยเฉพาะอินเซ็นทีฟที่จะนำคณะใหญ่  มาไทยหรือประเทศอื่น  อาจเกิดความกังวลเรื่องความผันผวนทางการเงินอยู่บ้าง รวมทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นในจังหวะที่เงินเฟ้อโลกสูงเกิน 6 % เป็นแรงกดดันตลาดอินเซนทีฟอยู่พอสมควร