ส่อง “พาวเวล” ผงาดขึ้นประธานเฟดสมัยที่ 2

หลังจากที่ขับเคี่ยวกันมาระยะหนึ่ง ระหว่างนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารสหรัฐฯ (เฟดคนปัจจุบัน และนางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด 2 ตัวเก็งที่อาจได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานเฟดคนใหม่ ซึ่งจะดำรงตำแหน่งหลังนายพาวเวล ครบการดำรงตำแหน่ง 4 ปีในเดือน ..ปีหน้า

เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศว่า เขาได้เสนอชื่อนายเจอโรม พาวเวล ให้ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อเนื่องเป็นสมัยที่ 2 ท่ามกลางเสียงขานรับของภาคธุรกิจ

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ ระบุว่า การตัดสินใจของประธานาธิบดีไบเดน ให้นายพาวเวลดำรงตำแหน่งประธานเฟดเป็นสมัยที่ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น  รวมทั้งเห็นผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย

โดยตลาดเงิน และตลาดทุนมีความเชื่อมั่นต่อนายพาวเวล โดยเฉพาะกรณีที่นายพาวเวลสามารถรักษาความเป็นอิสระของเฟด และดำเนินการในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูกต้อง แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันทางการเมือง ในช่วงของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมักแสดงความไม่พอใจต่อนายพาวเวล และนโยบายการเงินของเฟด และขู่จะปลดนายพาวเวลบ่อยครั้ง

นอกจากนั้น ตลาดยังมองว่า การดำรงตำแหน่งประธานเฟดเป็นสมัยที่ 2 จะทำให้เกิดความต่อเนื่องของนโยบายเฟดโดยที่ผ่านมา ตลาดพอใจการส่งสัญญาณการปรับทิศทางนโยบายการเงินของเฟดอย่างต่อเนื่อง และชัดเจน ซึ่งทำให้ตลาดสามารถปรับตัวรับมือโดยไม่แตกตื่นมากเกินไป จนสร้างความเสียหายให้กับเงินลงทุน 

และคาดว่า เฟดจะทำเช่นนั้นต่อเนื่องในปี 2565-2566 ซึ่งเป็นช่วงของการดำเนินการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)  และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อในช่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ 

ขณะเดียวกัน ยังเชื่อมั่นว่า นายพาวเวล จะได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ว่าการธนาคารกลางทั่วโลก 

ก่อนหน้านี้ สำนักพนันที่ถูกกฎหมายหลายแห่งให้อัตราต่อรอง  ว่า นายพาวเวลมีโอกาสสูงถึง 65% ที่จะดำรงตำแหน่งประธานเฟดสมัยที่ 2 และมองว่านางเบรนาร์ดมีโอกาสเพียง 35%

โดยฝั่งของ นางเบรนาร์ด นั้น แม้มีการคาดการณ์กันว่า นางเบรนาร์ดสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากกว่านายพาวเวล ซึ่งจะทำให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ทิศทางการดำเนินนโยบายของนางเบรนาร์ดอาจทำให้สหรัฐต้องรับมือกับอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น  ขณะเดียวกัน คาดว่า นางเบรนาร์ด จะเพิ่มกฎระเบียบควบคุมภาคธนาคารอย่างเข้มงวดกว่าในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวว่า นางเบรนาร์ด จะได้รับเสนอชื่อเป็นรองประธานเฟด และว่าที่ประธานเฟดในครั้งต่อไปหลังการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ของนายเจอโรม พาวเวลสิ้นสุดลง

ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่ประธานาธิบดีไบเดน เลือกนายพาวเวล เนื่องจากมองว่า ในขณะนี้เป็นช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งต้องการความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบายการเงิน และที่ผ่านมาผลงานของนายพาวเวล ถือว่าสอบผ่านสำหรับการอยู่ต่อในช่วงการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด และเป็นช่วงที่สหรัฐฯ จะต้องเผชิญหน้ากับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

นอกจากนั้น นายพาวเวลยังได้รับแรงสนับสนุนจาก นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ และอดีตประธานเฟดอีกด้วย

และแม้นายพาวเวลจะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเฟดสมัยแรก โดยการเสนอชื่อของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็ตาม แต่ประธานาธิบดีไบเดน เห็นว่า ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล  

เพราะได้ศึกษาบทเรียนมาจากกรณีที่อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามาได้ ที่ได้เสนอชื่อนายเบน เบอร์นันเก้ เป็นประธานเฟดสมัยที่ 2 แม้ว่านายเบอนันเก้จะได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งสมัยแรก โดยอดีตประธานาธิบดีจอร์จดับเบิ้ลยู บุช ซึ่งที่สุดสามารถช่วยรับมือกับเศรษฐกิจที่ซบเซาจากผลของซับไพร์ม หรือ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในช่วงนั้นได้เป็นอย่างดี 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หนทางของนายพาวเวลในฐานะประธานเฟดสมัยที่ 2 ในขณะนี้ยังถือว่า “ไม่ง่าย” เพราะแม้ประธานาธิบดีไบเดนเสนอชื่อนายพาวเวลขึ้นเป็นประธานเฟดสมัยที่ 2 อย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม แต่การขึ้นดำรงตำแหน่งได้นั้น จะต้องผ่านการรับรองจากวุฒิสภาสหรัฐฯ  

และก่อนหน้านี้มีสมาชิกวุฒิสภาบางรายมีแนวโน้มที่จะคัดค้านการเข้ารับตำแหน่งประธานเฟดของนายพาวเวล

โดยเฉพาะนางเอลิซาเบธ วอร์เรน วุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเสตต์ ที่ระบุว่า “นายพาวเวลเป็นบุคคลอันตรายที่บ่อนทำลายระบบธนาคารสหรัฐ และตนจะขัดขวางมิให้นายพาวเวลได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเฟดอีกสมัยหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังคงเชื่อมั่นว่า ในที่สุดวุฒิสภาสหรัฐฯ จะอนุมัติการแต่งตั้งนายพาวเวล อย่างไม่ยากเย็นนักและโลกคงต้องจับตาต่อไปแบบไม่กระพริบว่า หลังจากที่นายพาวเวล มีความมั่นใจแล้วว่า “เก้าอี้ประธานเฟด” สมัยที่จะยังไม่ไปไหนเป็นของตัวเองแน่นอน

“นโยบายการเงิน” สหรัฐฯ ในช่วงต่อไป จะเปลี่ยนแปลงพลิกผันไปจากวันนี้หรือไม่ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรและส่งผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจโลก