“สุวิทย์”ลั่นขอทำงานจนวินาทีสุดท้ายรับห่าง ส.ส.เพราะต้องปลุกปั้นสร้างกระทรวงใหม่

  • ยัน “กุมาร”มาด้วยกัน ไปด้วยกัน
  • อยู่ที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจ
  • ถามหาการเมืองหลังโควิด ควรเป็นยังไง

เมื่อเวลา15.30น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.อุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.)ในฐานะรักษาการรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังนำคณะผู้แทนภาคเอกชน เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม เพื่อหารือประเด็น BCG หรือ Bio – Circular- Green Economy ถึงกระแสข่าวเตรียมนัดหารือนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง รักษาการหัวหน้าพปชร. และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน รักษาการเลขาธิการพปชร. เกี่ยวกับการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าวันนี้ตนยังทำงานอยู่ ทุกคนต้องช่วยกันทำงาน ช่วยนายกฯนำพาวิสัยทัศน์ของประเทศไปข้างหน้า ช่วงหลังวิกฤติโควิด-19 หลายคนมองว่าจะเป็นวิกฤติแต่ตนมองว่าประเทศไทยมีโอกาส เหตุการณ์นี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเรามีจุดแข็งอยู่เยอะ เช่นการแพทย์และเรื่องการอุปโภคบริโภค หลังจากนี้ทุกคนมีหน้าที่มองในด้านบวก และประเทศไทยมีศักยภาพในการตอบโจทย์โลกหลังโควิด-19 อย่างไร หน้าที่ของตนในฐานะรัฐมนตรี คือเข้าไปเยียวยาฟื้นฟูทั้งภาคเอกชน และประชาชน โดยเฉพาะเอสเอ็มอี

ส่วนที่ตนโพสต์เฟซบุ๊คถึงเรื่องการปล่อยวางนั้นเป็นการเตือนตัวเอง ไม่ได้ปลงกับปัญหา วันนี้นายกฯให้โจทย์มาอีกเยอะ ตอนนี้มีหน้าที่ทำงาน และแม้ตนจะเป็นรองหัวหน้าพปชร.แต่ไม่ค่อยคุ้นชินกับงานการเมือง และเมื่อเป็นรมว.อว. ก็มาช่วยนายกฯในการขับเคลื่อนหลายเรื่อง และปกติตนก็โพสต์ข้อความในวันอาทิตย์ที่เป็นเรื่องสบายๆ เมื่อถามว่าถือว่าถอดใจหรือไม่ นายสุวิทย์ กล่าวว่า เราทำงาน ทำจนวินาทีสุดท้าย ตอนนี้มีแม้มีความคิดหลากหลายก็ต้องมาคุยกันว่า การเมืองหลังโควิด-19 ควรจะเป็นยังไง รูปแบบการเมืองที่ทำกันอยู่แบบเดิมๆตอบโจทย์หรือไม่ตัดสินใจแบบไหนต้องหารือนายกฯก่อน

เมื่อถามว่ากรณีที่ระบุว่า 3 กุมารจะนัดคุยกันนายสุวิทย์ กล่าวว่าเพราะเราเป็นคู่กรณี ถ้ามีโอกาสก็ต้องคุยกัน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องสปิริต เรามาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน ก่อนหน้านี้พวกตนคือ 4 กุมารลาออกจากรัฐบาลคสช.เพื่อไปตั้งพรรคใหม่ เป็นอารมณ์ของการที่มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน การตัดสินใจจะไม่ใช้อารมณ์ และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ แต่เป็นเรื่องภายในพรรค 4 กุมารเป็นกรรมการบริหาร แต่นายสมคิดเป็นอาจารย์ของตน และให้การสนับสนุน 4 กุมารมาตลอดก็แล้วแต่ท่าน แต่ถ้าแยกให้ออกเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในต้องมาคุยกัน ซึ่งจริงเท็จไม่รู้แต่มีการพูดกันว่าการปรับเปลี่ยนผู้บริหารพรรคเชื่อมโยงกับการปรับเปลี่ยนครม. การปรับครม.เป็นเรื่องของนายกฯ ไม่ว่าจะคุยกันยังไงก็ตามต้องเคารพท่านนายกฯ จะตัดสินใจยังไงก็ตาม ต้องหารือนายกฯก่อน ต้องให้เกียรตินายกฯ เพราะท่านเป็นคนเลือกเรามา

“ผมถือว่าภารกิจผม ท่านนายกฯไว้วางใจ ให้มาตั้งกระทรวงใหม่ ตั้งไข่มาระดับหนึ่ง หากลาออกเลยจะหาว่าทิ้งกระทรวง ตอนนี้เป็นเวลากว่าหนึ่งปีถือว่าสร้างฐานรากมาพอสมควร เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีใหม่ แต่ส่วนนายกฯจะให้ผม และอีกสองกุมารอยู่ต่อหรือไม่ ก็เป็นดุลยพินิจของท่านนายกฯ และวันนี้นายกฯไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร ท่านมองว่าควรมองประเทศไทยไปข้างหน้า อย่ามัวเสียเวลามองแต่ปัญหา ”นายสุวิทย์ กล่าว
รับห่างส.ส.เพราะไม่มีส.ส.ในมือ บอกพอแล้วบริหารพรรค

เมื่อถามว่า ที่ระบุว่าไม่ได้ใกล้ชิดกับพรรคตรงนี้เป็นปัญหาใช่หรือไม่ นายสุวิทย์ กล่าวว่า ตรงนี้เป็นข้อบกพร่องของตน ในช่วงที่ผ่านมาตนไม่มีส.ส. และตามรัฐธรรมนูญ ตนก็เป็นส.ส.ไม่ได้ และงานในกระทรวงอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย และงานวิจัย ยอมรับว่า ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีก็ทำงานอยู่แต่ที่กระทรวง เพราะจำเป็นต้องขึ้นรูปกระทรวงใหม่

เมื่อถามว่า การเลือกกก.บห.ชุดใหม่ จะสมัครเป็นรองหัวหน้าพรรคอีกหรือไม่ นายสุวิทย์ กล่าวว่า “พอแล้ว อันนี้เดี๋ยวค่อยมาว่ากัน การทำหน้าที่รักษาการตรงนี้ ผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการทำงานให้เต็มที่ ส่วนช่องโหว่ความสัมพันธ์กับส.ส.นั้น หากยังทำงานในฐานะรัฐมนตรีคือสิ่งที่ผมต้องปรับปรุง เพราะเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนที่ให้เขามาตีเราได้ เรื่องนี้ผมไม่ปฏิเสธ แต่จะปรับปรุงเพื่อไปบริหารพรรคใหม่หรือไม่นั้นต้องขอคิดอีกที และตั้งแต่มีประเด็นนี้พวกผมทั้งสามคนยังไม่ได้คุยกัน ต้องคุยกัน ต่างคนต่างคิดไม่ได้ เมื่อคุยกันแล้วต้องเรียนผู้ใหญ่ อย่างน้อยท่านนายกฯ และนายสมคิด ต้องรับทราบในสิ่งที่พวกเราหารือกัน และคิดอ่านอย่างไร ซึ่งเราต้องรักษาภาพใหญ่ให้ได้ เพราะนายกฯยังต้องอยู่ในภาวะต้องขับเคลื่อนวิกฤติ ไม่อยากให้ท่านปวดหัว

ซึ่งในการประชุมครม.วันพรุ่งนี้ เมื่อเจอกันทั้งสามคน คงได้คุยกัน“ เมื่อถามว่า นายสมคิดได้ส่งสัญญาณอะไรมาหรือไม่ นายสุวิทย์ กล่าวว่า ท่านก็ส่งสัญญาณเหมือนที่ถามกับสื่อซึ่งตนก็บอกว่าสู้อยู่ ไม่ได้สู้ทางการเมือง แต่สู้ในเนื้องานของกระทรวง แต่ตนก็รับรู้ว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้น จะไปนิ่งนอนใจไม่ได้