“สุชาติ”ยก 11 ข้อเตือนรัฐบาลเร่งดูเศรษฐกิจ​ช่วงสงคราม​ แนะลดภาษีน้ำมันลง​ 1 แสนล้าน​

  • ลดรายจ่ายรัฐบาล​ที่ฟุ่มเฟือยลง​ 1 แสนล้าน
  • รัฐบาลจึงควรค่อยๆ​ ปรับราคาสินค้า​ขึ้น
  • ดูแลค่าเงินบาทให้แข่งขันได้​ ไม่แข็งจนเกินไป

วันที่ 13 มี.ค.65 ศ.ดร.สุชาติ​ ​ธา​ดา​ธำ​รง​เวช​ อดีตรมว.คลัง กล่าวว่า 1.ภาวะสงครามในยูเครน​โดยการบุกของรัสเซีย​ ทำให้มีมาตราการตอบโต้​จาก​ประเทศ​ NATO เป็นจำนวนมาก ในด้านการค้า, การโอนเงิน​ และการยึดเงินและทรัพย์สิน​ไว้ก่อน​ ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจ​โลก​ ทำให้ราคาสินค้า​โภคภัณฑ์​ และสินค้าพื้นฐาน​ (น้ำมัน​ ก๊าซ)​ แพงขึ้น เนื่องจาก​ ปริมาณสินค้าลดลง​ ​จะเกิดเงินเฟ้อจากต้นทุนที่สูงขึ้น​ (Cost Push Inflation) ราคาสินค้าจะปรับขึ้นไปอยู่บนระดับใหม่​ อัตราเงินเฟ้อนี้​ จะไม่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ​ (Spiral Inflation)​ หากไม่มีการพิมพ์แบงค์มาอุดหนุนสงคราม​ 2.แต่ถ้ามีรัฐบาลประเทศใดๆ​ พิมพ์แบงค์มา​ใช้​ มากเกินไป​ ก็จะเกิดภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ​ ​ เช่น​ ​ญี่ปุ่นเคยพิมพ์แบงค์บาทมาใช้มากมาย​ ตอนเข้ายึดประเทศไทย​ ในสงคราม​โลกครั้งที่​สอง 3.ธนาคารโลก​ คาดว่าเงินเฟ้อ​ หรือการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าหนนี้​ จะทำให้ประเทศยากจนในแอฟริกา​ และอเมริกาใต้ เกิดความไม่สงบ​ และเกิดการจราจลได้ เพราะประชาชนไม่มีกินอยู่ไม่ได้​

ศ.ดร.สุชาติ กล่าวต่อว่า 4.สำหรับประเทศไทย​ ระดับราคาสินค้าทั่วไป​ จะถูกยกขึ้นไปอยู่ระดับใหม่​ รัฐบาลจึงควรค่อยๆ​ ปรับราคา​ขึ้น โดยใช้งบประมาณอุดหนุน​ เพื่อให้ประชาชนค่อยๆ​ รับราคาใหม่​ 5.รัฐบาลเก็บภาษีน้ำมันปีละกว่า​ 2 แสน​ล้านบาท​ นำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย​ ไม่เป็นประโยชน์​ ไปขยายระบบราชการ, ไปซื้ออาวุธ, ไปโฆษณา​ตัวรัฐบาล​เอง, ไปทำ​ I-O​ รัฐบาลจึงควรลดรายจ่ายด้านนี้ลง​ 1 แสนล้านบาท​ แล้วไปลดภาษีน้ำมันลง​ 1 แสนล้านบาท​ เพื่อลดค่าครองชีพประชาชน​ และให้ประชาชนใช้เงินที่เขาหามาเอง​ได้มากขึ้น 6.ให้รัฐบาลรีบสร้างรายได้ให้ประเทศ​ โดยเปิดระบบเศรษฐกิจ, เปิดการท่องเที่ยว​ เพื่อประชาชนจะสามารถหารายได้มากขึ้น​ ​7.ให้ขึ้นค่าแรงงาน​ขั้นต่ำต่อวัน จาก​ 300​ บาท​ เป็น​ 500​ บาท เพื่อให้คนจนมีรายได้เพียงพอ​ ทันกับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยรัฐให้สิ่งจูงใจ,​ ให้การลดหย่อนภาษี​ เพื่อให้ภาคธุรกิจ​ใช้เทคโนโลยี่​ที่สูงขึ้น​ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐ​ฯ ก็ได้ประกาศนโยบายเช่นเดียวกันนี้ เมื่อสัปดาห์​ก่อน

ศ.ดร.สุชาติ กล่าวต่อว่า 8.ให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้แข่งขันได้​ ไม่แข็งจนเกินไป​ จนไม่มีคนซื้อ​สินค้าเรา แต่ไม่อ่อนเกินไป​ จนไปลดฐานะความเป็นอยู่ของคนไทย​ ทั้งนี้​เพื่อให้การส่งออกและท่องเที่ยวเติบโตมากขึ้น​ ได้เงินตราต่างประเทศ​มาแล้ว​ สามารถแลกเป็นเงินบาทได้มูลค่าสูงขึ้น 9.ในภาวะสงคราม​ สินค้าออกจะขายได้ดี​ และได้ราคาดี​อยู่แล้ว​ เมื่อประเทศไทย​ได้เงินตราต่างประเทศมาแล้ว ยังสามารถแลกเงินบาทได้มากขึ้น ก็จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น​ จะไปเพิ่มการจ้างงาน, เพิ่มรายได้คนทั่วประเทศ, เพิ่มการบริโภค, เพิ่มการออมและการลงทุน ซึ่งจะไปเพิ่มการใช้​กำลังการผลิต (capacity utilization​) ซึ่งการใช้กำลังการผลิตของไทยยังต่ำอยู่ประมาณ​ 65-75% เท่านั้น​ เทียบกับญี่ปุ่น, เกาหลี​ ที่ใช้กำลังการผลิต​ใกล้ๆ​ 100%, การเพิ่มกำลังการผลิต​ จะไปเพิ่ม​ GDP และเพิ่มรายได้ภาษีให้รัฐบาล

ศ.ดร.สุชาติ กล่าวว่า 10.ภาวะเงินเฟ้อจาก​ต้นทุน​ทึ่สูงขึ้น ยังไม่จำเป็นต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย​ เพราะจะทำให้ (ก)​ เงินบาทแข็งค่า​ ไปลดการส่งออก​และท่องเที่ยว และ​ (ข)​ ต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น​ ไปลดการบริโภคและการลงทุน​ในประเทศ ซึ่งจะทำให้​ GDP​ ลดลง 11.​ แต่ประเทศตะวันตก​ อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ย​ เพื่อลดเงินเฟ้อ​ เพราะเดิมเขา​ก็พิมพ์แบงค์มา​ใช้มากเกินไปอยู่แล้ว​ ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยโลกสูงขึ้น​ อาจทำให้เงินไหลออกจากตลาดทุนและตลาดทรัพย์สิน​ของไทยไปบ้าง​ แต่หากเราไม่ขึ้นดอกเบี้ยตามทันที​ เงินบาทก็จะอ่อนค่าลง​ ทำให้​การส่งออก​ และ GDP​ เพิ่มขึ้น​ เงินตราต่างประเทศ​ ก็จะไหลกลับเข้ามาในตลาดทุน​ ในที่สุด ดอกเบี้ยไทยก็จะเพิ่มตามดอกเบี้ยโลก​ (หมายถึง​ ดอกเบี้ยที่แท้จริง​ คืออัตราดอกเบี้ยที่ปรับเงินเฟ้อแล้ว)