“สาธารณสุข”ย้ำ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือ เพื่อช่วยให้การเปิดประเทศปลอดภัย

  • น้นหลักสำคัญ 4 ประการ
  • “ฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม-ป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด-เข้มมาตรการ COVID-free setting -ใช้ชุดตรวจ ATK” .
  • เตรียมแผนรับมือหากเกิดเหตุการณ์หรือสถานการณ์โควิด 19 รุนแรงขึ้น

นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โควิด 19 และการฉีดวัคซีน ว่า สถานการณ์โควิด 19 วันนี้มีผู้ป่วยรักษาหาย 9,574 ราย ผู้ติดเชื้อใหม่ 8,165 ราย เสียชีวิต 55 ราย ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 วัน ทำให้สถานการณ์ภาพรวมของประเทศไทยแนวโน้มการติดเชื้อลดลง แต่ยังพบคลัสเตอร์ในบางพื้นที่ ต้องเฝ้าระวังติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่ 6 จังหวัดได้แก่ นครศรีธรรมราช เชียงใหม่ ตาก ระยอง จันทบุรี และขอนแก่น

“วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันแรกที่มีการเปิดประเทศรับผู้เดินทางและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งมีการผ่อนคลายกิจการกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้นในแต่ละพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพสร้างรายได้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินมาตรการเพื่อทำให้การเปิดประเทศเป็นไปด้วยความปลอดภัย โดยการแบ่งระดับสีของพื้นที่และมาตรการต่าง ๆ จะกำหนดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ประชาชน หน่วยงาน และผู้ประกอบการ สามารถศึกษารายละเอียดของมาตรการต่าง ๆ ได้ในแต่ละจังหวัดที่อาศัยเพื่อนำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง สำหรับพื้นที่สีฟ้าซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว 4 จังหวัด ได้แก่ กทม. กระบี่ ภูเก็ต และพังงา ผู้เดินทางจาก 63 ประเทศ/พื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด จะต้องมีประวัติการฉีดวัคซีน และได้รับการตรวจคัดกรองก่อนและหลังเดินทาง เมื่อเข้าประเทศแล้วต้องรอผลการตรวจหาเชื้อ 1 คืน หากไม่พบเชื้อสามารถท่องเที่ยวพื้นที่ใดก็ได้ทั่วประเทศ ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานและผู้ประกอบการต่าง ๆ ได้เตรียมแผนรับมือหากเกิดเหตุการณ์หรือสถานการณ์โควิด 19 รุนแรงขึ้น โดยมีการติดตามอย่างใกล้ชิดและเตรียมมาตรการป้องกันควบคุมโรคไว้สำหรับทุกพื้นที่”

สำหรับการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจะเป็นไปด้วยความราบรื่น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเน้นหลักสำคัญ 4 ประการ คือ การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม, ประชาชนป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด, เจ้าของกิจการ เข้มมาตรการ COVID-free setting สร้างความปลอดภัยแก่ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ และใช้ชุดตรวจ ATK คัดกรอง เพื่อให้ทราบผลเร็วและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้การควบคุมโรคโควิด 19 ประสบความสำเร็จ เปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย ใช้ชีวิตปกติแบบวิถีใหม่ได้เร็วที่สุด” นพ.เฉวตสรรกล่าว

ส่วนสถานการณ์โควิด 19 ใน จ.เชียงใหม่ พบว่าปัจจัยเสี่ยงเกิดจากการสัมผัสในชุมชน ร้อยละ 27.9 สัมผัสในครอบครัวร้อยละ 27.7 สัมผัสในที่ทำงาน ร้อยละ 16.4 ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในตลาดสด และสถานประกอบการ ดังนั้นขอให้เจ้าของกิจการประสานมายังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อนำกลุ่มแรงงานเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม ช่วยลดการระบาด ส่วนคลัสเตอร์ฟันน้ำนม จ.ร้อยเอ็ด แม้เป็นกลุ่มที่ยังไม่มีข้อแนะนำให้ฉีดวัคซีน แต่ความรุนแรงของโรคเกิดได้น้อยกว่ากลุ่มอื่น ยกเว้นเด็กเล็กที่มีโรคประจำตัวต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด หากพ้นระยะการกักตัวถือว่าหายเป็นปกติ ขณะที่คลัสเตอร์คนงานก่อสร้างในกระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการตามมาตรการทั้งการสอบสวนโรค บับเบิ้ลแอนด์ซีล เป็นต้น เพื่อไม่ให้แพร่กระจายเชื้อไปสู่ชุมชนภายนอกแล้ว

สำหรับภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 31 ตุลาคม 2564 สะสม 75,710,277 โดส ฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้วจำนวน 42,388,465 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 30,911,219 ราย และเข็ม 3 จำนวน 2,410,593 ราย ส่วนพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว 17 จังหวัด เป็นเข็มที่ 1 ร้อยละ 79.3 และเข็มที่ 2 ร้อยละ58.8 ขณะนี้วัคซีนได้จัดสรรไปยังพื้นที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีวัคซีนคงคลังในพื้นที่เพียงพอ