สร้างความยั่งยืน… “ออมสิน” จับมือ “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ” เปิดโครงการพัฒนา “Holistic Area Based” ทุ่ม 6.9 ล้าน ผุดโรงแปรรูปกาแฟ นำร่อง จ.น่าน

  • ตั้งเป้า 5 หมู่บ้านยอดดอยเปียงซ้อ จ.น่าน เป็นต้นแบบการพัฒนาแบบองค์รวม ตอบโจทย์ความยั่งยืน
  • เปลี่ยนแนวคิดทำเกษตรแบบเลื่อนลอย ให้หันมาปลูกกาแฟคุณภาพมาตรฐานญี่ปุ่น
  • ยกระดับคุณภาพชีวิต-สร้างรายได้ให้เกษตรกร มีความเป็นอยู่ที่ดี
  • พร้อมหนุนสร้างอาชีพสร้างรายได้อื่นนอกเหนือจากการเกษตร ส่งเสริมผู้ประกอบการโฮมสเตย์กระตุ้นภาคท่องเที่ยว

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารออมสินได้ริเริ่มเปิดตัวโครงการเพื่อสังคมโปรเจกต์ใหม่ล่าสุด โดยร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดทำโครงการพัฒนาชุมชนแบบองค์รวม หรือ Holistic Area-Based Development โดยดารคัดเลือก 5 หมู่บ้านของพื้นที่ห่างไกลในตำบลขุนน่านอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน ได้แก่ 1.บ้านเปียงซ้อ 2.บ้านห้วยฟอง 3.บ้านสะจุก 4.บ้านสะเกี้ยง 5.บ้านห้วยเต๋ยให้เป็นพื้นที่เป้าหมายของการพัฒนา 9 ด้าน ครอบคลุมมิติคุณภาพชีวิต และมิติเศรษฐกิจ ชุมชน และสังคม 

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการบูรณาการแนวคิดเชิงสังคมลงในกระบวนการปฏิบัติงานที่สำคัญ : Social Mission Integration เพื่อขับเคลื่อนการสร้างผลกระทบเชิงบวกในสังคมให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมภายใต้ยุทธศาสตร์ธนาคารเพื่อสังคม

นายวิทัย กล่าวว่า โครงการพัฒนาชุมชนแบบองค์รวม : Holistic Area-Based Development พื้นที่ 5 หมู่บ้านของจังหวัดน่าน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 10,000 ไร่ จำนวนประชากร 500 ครัวเรือน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับผลประโยชน์ในโครงการ โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้เข้าไปบุกเบิก โดยการชักชวนชาวบ้านของ 5 หมู่บ้าน ให้เปลี่ยนจากการทำเกษตรเลื่อนลอยที่ทำลายพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ให้หันมาปลูกกาแฟคุณภาพมาตรฐานญี่ปุ่น โดยกาแฟนั้นถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่ไม่ทำลายผิวดินและป่าต้นน้ำน่าน 

ทั้งนี้ ต่อมาธนาคารออมสินได้ริเริ่มจัดทำโครงการต้นแบบตามแนวคิดการพัฒนาชุมชนแบบองค์รวมขึ้น จึงได้ร่วมสนับสนุนงบประมาณ 6,900,000 บาท โดยร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ คัดเลือกให้ 5 หมู่บ้านดังกล่าว เป็นพื้นที่เป้าหมายการพัฒนาในขั้นต่อไป ด้วยการจัดตั้งโรงแปรรูปกาแฟ เครื่องมืออุปกรณ์ และปัจจัยที่จำเป็นในการแปรรูปเมล็ดกาแฟให้พร้อมจำหน่ายเพิ่มรายได้ต่อกิโลกรัมให้กับเกษตรกร จากเดิมจำหน่ายเมล็ดกาแฟเชอร์รี่ได้กิโลกรัมละ 25-30 บาท ก็จะขยับเพิ่มเป็นกิโลกรัมละ 120-150 บาท

นอกจากนี้ ธนาคารยังจัดสรรงบประมาณอีกจำนวนหนึ่งสำหรับมิติการพัฒนาด้านอื่นที่รับผิดชอบดำเนินการโดยบุคลากรของธนาคารทั้งจากส่วนกลาง และธนาคารออมสินภาค 9 (จังหวัดน่าน) อาทิ ด้านการจัดหาแหล่งเงินและแก้ปัญหาหนี้ การสร้างอาชีพสร้างรายได้อื่นนอกเหนือจากการเกษตร เช่น การส่งเสริมอาชีพผู้ประกอบการโฮมสเตย์รวม18 ราย ที่ผ่านการอบรมยกระดับโฮมสเตย์มาตรฐานจากกรมการท่องเที่ยว องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) และ Airbnb 

การฝึกอบรมสอนอาชีพช่างโดยวิทยาลัยเทคนิคปัว การสนับสนุนด้านการศึกษา ทั้งที่เป็นก่อสร้าง/ปรับปรุงอาคารโรงอาหาร ห้องน้ำ สนามเด็กเล่น และการส่งเสริมการเรียนการสอนด้าน ICT โดยความร่วมมือของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED) การสนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์แก่โรงพยาบาลเสริมสุขภาพตำบลและกิจกรรมของ อสม. การปรับปรุงระบบจัดการน้ำดื่มน้ำใช้ การติดตั้งระบบไฟ Solar System ระบบอินเตอร์เน็ต เป็นต้น 

“ตั้งเป้าหมายการพัฒนาและช่วยเหลือชาวบ้านให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เห็นการเปลี่ยนแปลงภายในระยะเวลา 1 ปีและคาดว่าจะมีผู้ได้รับผลประโยชน์ในโครงการต้นแบบฯ ครั้งนี้ ทั้งประชากรของ 5 หมู่บ้านและพื้นที่ใกล้เคียง ไม่น้อยกว่า 10,000 ราย” นายวิทัย กล่าว

นายวิทัย กล่าวด้วยว่า ด้วยการเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ที่ธนาคารออมสินได้ริเริ่มในพื้นที่นี้ เมื่อสามารถขยายตัวลงมือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นรูปธรรมจนนำไปสู่ความสำเร็จ หากเกิดการทยอยทำหลายพื้นที่ แล้วได้ต่อภาพจากต้นแบบนี้ จนมีการขยายผลไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ธนาคารออมสินจะดำเนินการเอง หรือหากมีหน่วยงานอื่น จะทำลักษณะนี้ด้วย จะเป็นการช่วยกันใส่ความช่วยเหลือให้ในหลาย ๆ จุดตามพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ ดังเช่นจุดริเริ่มที่ตำบลขุนน่านนี้ ถือว่ายากลำบากทุรกันดารที่สุด หากทำสำเร็จได้แล้ว พื้นที่ใด ๆ ก็ตามในประเทศไทยก็สามารถพัฒนาไปสู่ความสำเร็จเช่นนี้ได้ทั้งสิ้น