“สรรพากร”​ ไล่ล่าเก็บภาษีบริษัทข้ามชาติจับมือ “โออีซีดี”ออกมาตรการป้องกันเลี่ยงภาษี

  • ต่อยอดฐานภาษีอี-เซอร์วิส 
  • สร้างรายได้ใหม่ของประเทศ สร้างเสถียรภาพการคลัง 
  • ภาษีขายหุ้น  ศึกษาแนวทางไว้หมดแล้ว  รอเวลาเหมาะสม

นายเอกนิติ  นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร  เปิดเผยว่า  ขณะนี้กรมสรรพากร อยู่ระหว่างศึกษาและหารือร่วมกับ องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี)ที่มีสมาชิก 139 ประเทศทั่วโลก  เพื่อเจรจามาตรการป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศ ซึ่งประกอบกด้วย 2 แนวทาง คือ 1. มาตาการกำหนดให้บริษัทข้ามชาติต้องเสียภาษีเงินได้ โดยปันส่วนกำไรมาให้กับประเทศผู้ใช้บริการ ถึงแม้จะไม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศที่ให้บริการ ซึ่งการจัดเก็บภาษีอี-เซอร์วิส จากแพลตฟอร์มออนไลน์ ของประเทศไทย จะสามารถนำไปคำนวณเป็นฐานภาษีเงินได้นิติบุคคลจากบริษัทข้ามชาติได้ ซึ่งจะเป็นฐานรายได้ใหม่ของประเทศไทยในอนาคต

ทั้งนี้ในเบื้องต้น โออีซีดี กำหนดการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับธุรกิจที่มียอดขายเกิน 20,000 ล้านยูโร  หากมีกำไรเกิน 10% ของยอดขาย ต้องแบ่งสรรปันส่วนกำไร โดย 10% เแรกป็นกำไรของบริษัท  ส่วนที่เกิน 10 % นั้น นำมาจัดสรรจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กลุ่มโออีซีดีในอัตรา 25%  ซึ่งขณะนี้ยังไม่บรรลุข้อตกลง เนื่องจากหลายประเทศ มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน  2.มาตรการกำหนดให้บริษัทข้ามชาติที่หลบเลี่ยงภาษีโดยถ่ายโอนกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ จะต้องถูกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำ 15%  ยกตัวอย่างเช่น บริษัทไทยไปลงทุนในหมู่เกาะ ที่ยกเว้นการจัดเก็บภาษี  เมื่อมีรายได้ก็ให้นำรายได้นั้นมาเสียภาษีให้ประเทศไทยด้วย 

“การเจรจาหารือกันในกลุ่มสมาชิกโออีซีดี เป็นการต่อยอดการจัดเก็บภาษีอี-เซอร์วิส  เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ผู้เสียภาษีทุกราย ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศไทย ที่ต้องการขยายฐานการจัดเก็บภาษี ให้ประเทศไทย มีแหล่งรายได้ใหม่ จากบริษัทข้ามชาติที่เคยหลบเลี่ยงภาษี กลับมาจ่ายภาษีให้กับประเทศ  หากไปตามแผนที่กำหนดไว้ ผลการศึกษาจะแล้วเสร็จในปี 2566 และมีผลบังคับใช้ในปี 2567 และขณะนี้มีการเจรจาขอเลื่อนการบังคับใช้เป็นปี 2568”

นายเอกนิติ กล่าวว่า สำหรับการจัดเก็บภาษีขายหุ้น ซึ่งเป็นภาษีธุรกิจเฉพาะนั้น  กรมสรรพากร ยังอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการจัดเก็บไว้หมดแล้ว แต่ต้องดูจังหวะและเวลาที่เหมาะสม  ทั้งนี้หากมีการจัดเก็บภาษีจริงตามกฎหมายในอัตรา 0.1%  จะทำให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีขายหุ้นปีละ 10,000 ล้านบาท  อย่างไรก็ตามต้องรอให้นายลวรณ แสงสนิท ว่าที่อธิบดีกรมสรรพากรคนใหม่ และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง พิจารณาต่อไป