สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย -ก.ล.ต- 28 องค์กรพันธมิตร กดปุ่มเปิดโครงการ “ถนนวิภาวดี ไม่มีขยะ”ระยะที่ 2

  • ร่วมขับเคลื่อนตลาดทุนไทยสู่ความยั่งยืน
  • สานต่อการบริหารจัดการขยะภายในองค์กร
  • ส่งเสริมให้ธุรกิจในประเทศไทยดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า สำนักงาน ก.ล.ต. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนไทย เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมและมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนภาคธุรกิจในตลาดทุนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ครอบคลุมมิติต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดประเด็นความยั่งยืนเป็นหนึ่งในเรือธงของแผนยุทธศาสตร์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs) สำหรับมิติด้านสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.ล.ต. มีนโยบายที่จะสนับสนุนการดำเนินธุรกิจคาร์บอนต่ำ โดยร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคธุรกิจในตลาดทุน อันนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศไทย ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. ในฐานะสมาชิกและผู้ริเริ่มโครงการ ถนนวิภาวดีฯ ไม่มีขยะ ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการขยะภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม รวมทั้งได้ผลักดันและสนับสนุนโครงการ ถนนวิภาวดีฯ ไม่มีขยะ ระยะที่ 2 โดยให้การสนับสนุนมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยเป็นผู้ดำเนินโครงการ เพื่อเป็นต้นแบบและขยายผลต่อยอดไปสู่พื้นที่อื่นในวงกว้างต่อไป พร้อมสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการฯ ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะสะท้อนถึงภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรในระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนยังสามารถนำผล การดำเนินงานภายใต้โครงการฯ นี้ เปิดเผยข้อมูลในแบบ 56-1 One Report ตามหลัก ESG ที่มีผลบังคับใช้ในปี 2565 ได้อีกด้วย

“การร่วมประกาศเจตนารมณ์ขององค์กรพันธมิตรในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ภาคธุรกิจได้ร่วมแสดงพลังความร่วมมือในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบโดยคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และมีธรรมาภิบาล ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. พร้อมให้การสนับสนุนการดำเนินงานของภาคธุรกิจในตลาดทุนเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นที่เชื่อถือและยอมรับในระดับสากล”

ดร. วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) กล่าวว่า ปัจจุบันสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยได้มีการดำเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในระดับเชิงนโยบายและการปฏิบัติในระดับพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การอนุรักษ์ การพัฒนาและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล อันจะเป็นรากฐานสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันประเทศไทยและทั่วโลกต่างก็ประสบกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปัญหาจากขยะ ขยะพลาสติกและการบริหารจัดการขยะที่ไม่เต็มประสิทธิภาพก็ได้กลายมาเป็นปัญหาหลักทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค ซึ่งได้บรรจุอยู่ในวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติเช่นกัน และส่วนของประเทศไทยทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้มีความตระหนักถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย และขยะพลาสติกโดยรัฐบาลไทยได้ประกาศให้การจัดการปัญหาขยะมูลฝอยยกระดับเป็น “วาระแห่งชาติ” โดยการมุ่งเน้นการลดการเกิดขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทาง ควบคู่กับการนำวัสดุใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำและนำมาใช้ประโยชน์ใหม่ นอกจากนี้ ยังมีการบรรจุเรื่องการจัดการขยะอย่างยั่งยืนไว้ในโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวาระแห่งชาติด้านเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy Model) อีกด้วย ทั้งนี้ การร่วมขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาของประเทศ ด้านการบริหารจัดการขยะสามารถดำเนินการได้โดยการเริ่มต้นจากการบริหารจัดการขยะภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ และส่งต่อความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ในกลุ่มธุรกิจและถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่สังคมภายนอก เพื่อแสดงถึงพลังจากการรวมตัวขององค์กรภาคธุรกิจในการขับเคลื่อนสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน และสามารถขยายผลไปสู่ธุรกิจต้นแบบด้านความยั่งยืนและธุรกิจคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Business) พร้อมทั้ง ร่วมสนับสนุนและผลักดันนโยบายระดับประเทศ โดยจะร่วมสร้างต้นแบบที่ถนนวิภาวดี

ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นมาในการขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้โครงการ “ถนนวิภาวดีฯ ไม่มีขยะ (ระยะที่ 2) : ร่วมขับเคลื่อนตลาดทุนไทยสู่ความยั่งยืน” ซึ่งโครงการในระยะที่ 2 นี้ จะเป็นการดำเนินงานที่สานต่อการบริหารจัดการขยะภายในองค์กรและประสบการณ์ที่ได้จากการดำเนินงานในระยะแรกไปใช้ในการวางแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ และต่อยอดขยายผลการดำเนินงานโครงการ เพื่อพัฒนาสู่โมเดลการบริหารจัดการขยะภายในองค์กรที่จะนำไปปรับใช้และขยายผลต่อไป โดยในโครงการระยะที่ 2 ได้มีองค์กรพันธมิตรจากภาคธุรกิจไทยเข้าร่วมจำนวน 29 องค์กร จาก 19 อาคารหลักที่ตั้งอยู่บนถนนวิภาวดี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันและเสริมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการดำเนินงานธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งปัจจุบันองค์กรภาคธุรกิจได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของประเทศ ได้แก่ วาระแห่งชาติ BCG และการมุ่งไปสู่คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ตามเป้าหมายระยะยาวของประเทศต่อไป และจะเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจดังกล่าวเป็นการตอบสนองนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนในอนาคต”