สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ดร.โกร่ง ฟันธง สหรัฐพ่าย

  • กงล้อประวัติศาสตร์กำลังหมุนกลับ
  • “จีน”ชนะมาตั้งแต่ยังมี“จักรพรรดิ์”
  • ระบุ สหรัฐอเมริกาจะถูกโดดเดี่ยว

สงครามการค้าระหว่างประเทศที่ประกาศโดย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่ง สหรัฐอเมริกา เน่ืองจากสหรัฐ อเมริกาขาดดุลุการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดกับประเทศต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างย่ิง กับ ประเทศจีน ซึ่งบัดนี้ กำ ลังจะหลุดพ้นจากการเป็นประเทศกาลังพัฒนามาเป็นประเทศพัฒนาแล้ว หรือ ประเทศผู้นำทางอุตสาหกรรมและเทค โนโลยี

สหรัฐอเมริกาขาดดลุการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก และยาวนานแต่ก็ยังอยู่ได้โดยไม่ล้มละลาย เพราะประชาคมโลกยังใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการกันทั่วโลกการที่ดอลลาร์ยังเป็นเงินสกลุเดียว นอกจากทองคำที่ชาวโลกยังมีความต้องการใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเป็นเงินที่ทั่วโลกใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่าทองคำ มากกว่าสิทธิถอนเงินพิเศษ SDR ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอมเอฟ

ญี่ปุน เคยเป็นผู้ที่มีทุนสำรองในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐมากท่ีสุดประมาณ 800,000 ล้านเหรียญสหรัฐ บัดนี้ถูกจีนแซงหน้าไปนานแล้ว เพราะจีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์ถึง 3.3 ล้านล้านเหรียญ และยังเป็นประเทศที่เกินดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดกับอเมริกา มีเงินดอลลาร์ไหลเข้าประเทศผ่านธนาคารพา ณิชย์ เงินสกุลท้องถิ่นก็จะแพง หรือแข็งขึ้น เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของตน และสิน ค้านำเข้าก็จะถูกลง อุตสาหกรรมภายในประเทศเดือดร้อน เพราะต้องขึ้นราคาเพื่อการส่งออกซึ่งทำไม่ได้

ประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศ โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
ประเทศเล็กอย่างประเทศไทย ตั้งราคาส่งออกเองไม่ได้ เป็นผู้รับราคาตลาดโลก หรือเป็น price taker ได้เท่า นั้น เมื่อเงินท้องถิ่นแข็งขึ้น ก็ทำให้ผู้ส่งออกนำดอลลาร์มาแลกเป็นเงินท้องถิ่นได้น้อยลง การที่ประชาชนชาวสหรัฐมีมาตรฐานการดำรงชีวิตสูงกว่าชาติใดๆในโลก ค่าแรงของผู้ใช้แรงงานในสหรัฐ จึงสูง สินค้าที่ผลิตในอเมริกา จึงแพง กว่าราคาตลาดโลก ค่าเงินดอลลาร์ ก็ควรจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับ ค่าเงินหยวนของจีน เงินเยนของญี่ปุ่น และเงินยูโรของสหภาพยุโรป

แต่ประเทศต่างๆไม่ว่าจีน หรือยุโรป การมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะเงินดอลลาร์เหล่านี้ ไหลกลับไปซื้อพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐ เพราะกระทรวงการคลังสหรัฐต้องออกพันธบัตรขายให้กับประชาชน และสถาบันการเงินเพื่อไปชดเชยการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จีนกลายเป็นผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลอเมริกามากที่สุด ค่าเงินดอลลาร์ไม่ตกเท่าที่ควร

ดูก็เหมือนดี เพราะเท่ากับรัฐบาลอเมริกัน ใช้วิธีพิมพ์กระดาษเป็นเงิน นำไปแลกกับสินค้า และบริการมาใช้อุป โภคบริโภค แต่ถ้าทำมากๆ รัฐบาลอเมริกัน ก็ต้องเก็บภาษีอากรจากประชาชนของตนมาชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ให้กับผู้ที่ถือพันธบตัรของรัฐบาล จึงเป็นสาเหตุสำคัญของการขาดดลุงบประมาณแผ่นดินของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลบัญชีเงินทุน หรือดุลการชำระเงิน โยงกันเป็นลูกโซ่ของประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย

ส่วนจีน และชาวโลก ก็ได้ดอกเบี้ยจากกระทรวงการคลังของสหรัฐ ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้ค่าเงินของตัวแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรักษาการเกินดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัด กับ สหรัฐ เพื่ิอรักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของตนไว้ เท่ากับสหรัฐอเมริกาเป็นผ้รูับภาระในการผลักดันเศรษฐกิจของจีน ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ บนต้นทุนทางการเงินของสหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกาจึงไม่มีทางออก เพราะการจะแทรกแซงตลาดทั้งในสหรัฐเอง ทั้งในยโุรป และเอเชีย เพื่อให้ค่าเงิน ดอลลาร์อ่อนลง ก็ไมอยู่ในอำนาจของตนอีก ทั้งธนาคารกลางสหรัฐ ก็กลัวจะเกิดภาวะเงินเฟ้อในอเมริกา จึงพยายามขึ้นดอกเบี้ยมาตรฐาน ยิ่งทำให้เงินดอลลาร์ไหลกลับไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน การขาดดุลการค้า และ ดุลบัญชีเดินสะพัด จึงถูกชดเชยด้วยการเกินดุลเงินทุนวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ

โดนัลด์ ทรัมป์ จึงใช้วิธีโดยตรง ไม่ใช้กลไกตลาดในการลดการนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ทั้งๆที่ผิดกฎขององค์ การการค้าระหว่างประเทศ หรือ WTO โดยไม่มีประเทศใดกล้าโวยวายผ่านองค์การการค้าระหว่างประเทศ เพราะอเม ริกาเป็นตลาดใหญ่ ใครๆก็เกรงใจ เกรงจะกระทบผลประโยชน์ของตนจากการส่งสินค้า และ บริการไปขายกับสหรัฐ อเมริกา แม้กระทั่งจีน

เหตุที่จีนสงบปากสงบคำ ไม่ได้เถียงกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ นอกจากวัฒนธรรมผู้ดีของจีนที่ไม่ ใช้กิริยาวาจาแบบ “กุ๊ยอเมริกัน” แล้ว ก็เป็นของธรรมดาที่ผู้ได้เปรียบในการติดต่อค้าขายย่อมต้องเอาใจลูกค้าของตนอันเป็นเหตุให้คนไทยเชื้อสายจีนรุ่นก่อนประสบความสำเร็จในการทำมาค้าขายในเมืองไทย

มีเรื่องเล่าเปรียบเทียบ ระหว่างคนขายอาหารที่เป็นคนไทยกับคนจีน พ่อค้าไทยเมื่อถูกลูกค้าตะโกนใส่ว่า “อั๊วะจะกินวันนี้นะ ไม่ใช่พรุ่งนี้” พ่อค้าไทยจะตอบว่า “อยากเร็ว ก็ไปกินร้านอื่น มาร้านนี้ช้า” แต่ถ้าพ่อค้าจีน จะตอบว่า “ครับๆ ได้แล้วครับ ได้แล้วครับ” ทั้งๆที่ต้องรอนานกว่า เพราะร้านคนจีนมีลูกค้ามากกว่าร้านคนไทย ไม่ช้าร้านคนไทยก็ต้องเลิกไป ขายกิจการให้คนจีนขยายกันใหญ่โตขึ้น ส่วนคนไทยขายร้านได้แล้ว ก็ไปกินเหล้าเมายา เล่นการพนัน ต้องกลับมาเป็น ลูกจ้างร้านคนจีนที่ตนขายให้

เข้าใจว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอเมริกากับจีนก็คงเป็นเช่นนั้น ประธานาธิบดีจีน ถูกต่อว่า ด้วยคำแรงๆจากกุ๊ยอเมริกัน ก็ไม่ตอบโต้ ในระดับเดียวกัน จีนก็ยังคงซื้อกิจการของบริษัทอเมริกันต่อไป ค้าขายกับอเมริกัน ต่อไป ถ้าประธานาธิบดีอเมริกาทำสาเร็จ คนเดือดร้อน ก็คือ ผ้บูริโภคอเมริกัน และผู้ผลิตในจีน

ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะประเทศที่เปิดตลาดค้าขายกันทั้ง 2 ฝ่ายต่างได้ประโยชน์จากการค้าขายระหว่างกัน หรืออีกนัยหน่ึงทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์จากการเปิดตลาดค้าขายซ่ึงกันและกัน

ที่เป็นเช่นนั้น ก็ด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรกประเทศต่างๆ ย่อมมีความถนัด ความชำนาญในการผลิต ไม่เท่ากัน หรือประเทศมีทรัพยากรต่างๆไม่เท่ากัน บางประเทศมีทรัพยากรพลังงานมาก แต่มีพื้นที่เพาะปลูกน้อย แห้ง แล้ง ไม่เหมาะแก่การกสิกรรม ประมง หรือกิจการการเกษตรอื่นๆ บางประเทศมีความถนัดในการค้นคว้า วิจัยทางเทค โนโลยี หรือวิทยาการการผลิตใหม่ๆ สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ สินค้าใหม่ๆ หรือต่อยอดวิทยาการใหม่ๆ ประยุกต์การผลิตให้ตรงตามความต้องการของตลาด ทำการตลาดให้คนเข้าใจว่า สินค้าของตนมีคุณภาพสูงกว่า

อเมริกามีเงินทุน ในการวิจัยค้นคว้าวิทยาการใหม่ๆ อยู่เสมอเกือบทุกด้าน แต่ผลิตของไม่มีรสนิยม เพราะคน อเมริกัน ไม่มีรสนิยมในการบริโภค ไม่มีความทันสมัยในการแต่งกาย และการกินอยู่ วัฒนธรรมง่ายๆ อย่างคาวบอยยังคงอยู่ ไม่มีความรู้ในเรื่องของประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศในทวีปอื่นๆทั่วโลกเลย

เคยถูกคนอเมริกันที่รับนัก เรียนไปอยู่ด้วยที่โคโรลาโดถามว่า เมืองไทยยังขี่ช้างไปไหนมาไหนอยู่หรือเปล่า หรือเป็นเวียตกงหรือเปล่า เพราะหน้าตาเหมือนกัน

คนอเมริกันจึงมีแนวโน้ม ที่จะเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลของตนเสมอ เมื่อรัฐบาลอเมริกัน สร้างทฤษฎี โดมิโนขึ้นมา บอกว่า เมื่อประเทศเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ได้รับการปลดปล่อย จะกลายเป็นประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ก็คิดว่า ประเทศไทยจะถูกปลดปล่อย จนกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ด้วย ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง

ปัญหาคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย เป็นปัญหาภายในประเทศ อเมริกาเสียเงินทอง งบประมาณมากมาย จนเป็นเหตุเงินดอลลาร์ต้องออกจากมาตรฐานทองคำ ต้องลดค่าเงินอย่างมหาศาล เพราะไม่มีทองคำให้ธนาคารกลางประเทศอื่นเอาดอลลาร์มาแลก

การที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะลดการนำเข้าโดยตรง โดยการบังคับ และจะบังคับส่งออกมากขึ้น เป็นการฝืน กลไกตลาด จะผลิตในสิ่งที่ตนไม่ถนัด จะไม่ขายเทคโนโลยีให้จีน เท่ากับบังคับจีนให้ลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีของ ตนเอง แทนการซื้อจากสหรัฐอเมริกา

ปกติผู้ที่พัฒนาเทคโนโลยีทีหลัง ก็มักจะดีกว่า และก้าวหน้ากว่าเทคโนโลยีที่พัฒนามาก่อน แม้ว่าในตอนแรกๆ อาจจะมีราคาสูงกว่า เพราะต้นทุนสูงกว่า แต่นานวันเข้า สามารถเจาะตลาดได้มากขึ้น ตลาดขยายตัวขึ้น ต้นทุนก็จะถูกลง ราคาก็จะถูกลง ตรงกันข้ามกับประเทศที่ปกป้องอุตสาหกรรมของตนโดยตั้งกำแพงภาษีขาเข้าแพง ๆ กลายเป็นการอุ้มชูอตุสาหกรรมที่ไร้ประสิทธิภาพล้าสมัยหมดความนิยม

แทนที่จะเลิกไปแล้วให้มีการลงทุนใหม่ท่ีก้าวหน้าทันสมัยกว่า ราคาถูกกว่า เป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่าจากทฤษฎีความได้เปรียบเชิงเทียบ Comparative Advantage ในตำราเศรษฐศาสตร์ ที่ อดัม สมิธ และ เดวิด ริคาร์ โด เคยกล่าวไว้ตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ก็ยังใช้ให้เป็นประโยชน์ได้จนถึงปัจจุบัน

ทำนายได้เลยว่า นโยบาย “อเมริกันมาก่อน” หรือ “American first” จะประสบความส้มเหลว เช่นเดียวกับ“วาทะของ มอนโร” หรือ Monroe’s Doctrine ว่า อเมริกาอยู่คนเดียวแบบโรบินสันครูโชก็ได้ ไม่ต้องพ่ึงพา คบหากับใคร เพราะอเมริกากว้างใหญ่ไพศาลมีครบทกุอย่างแล้ว
จักรพรรด์ิจีน เฉียน หลง ครองราชย์อยู่ 68 ปี จึงสละราชสมบัติ ก็เคยตอบฝรั่งที่ร้องเรียนว่า ขอให้จีนซื้อของจาก ฝรั่งบ้าง เพราะจีนเกินดุล กับฝรั่งมาก จนฝรั่งไม่มีเงินจะจ่ายให้จีนแล้ว เฉียน หลง ก็ตอบฝรั่งว่า จีนมีทุกอย่างแล้ว ไม่ รู้จะซื้ออะไรจากฝรั่ง ฝรั่งจึงเอาฝิ่นจากอินเดียมาขายลดการขาดดุลการค้า จนเกิดสงครามฝิ่น

แต่จีนกับฝรั่งตอนนี้ไม่เหมือนสมัยศตวรรตที่ 19 แล้ว จะมาใช้ “นโยบายเรือปืน” หรือ Gunboat Diplomacy อย่างเก่า เห็นจะไม่ได้ เพราะแสนยานุภาพทางทหารของจีน ก็สามารถทำลายฝรั่งได้เหมือนกัน แม้ว่า อาจจะด้อยกว่า

กงล้อประวัติศาสตร์กำลังหมุนกลับ