“สกาย ไอซีที” เปิดแผน “ CONNECTING THAILAND” กางแผนเชื่อมเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย

  • ผุด SKY Space พื้นที่ Hybrid Function ตอบโจทย์ลูกค้า-การพัฒนา Tech Talent รุ่นใหม่ 
  • วางเป้าเชื่อมต่อเทคโนโลยีทันสมัยเข้ากับภาคธุรกิจ และการดำเนินชีวิตของผู้คน
  • เดินหน้าพัฒนา Advanced Tech-AI-Empowered Solution-Tech Talent Transformation 
  • นำเสนอซูเปอร์แอปฯ “SAWASDEE by AOT” ผู้ช่วยนักเดินทาง สะดวกมีครบจบทีเดียว
  • ชูแอปฯ “VIMARNN” ตัวช่วยบริหารจัดการผู้มาติดต่อ ให้มีประสิทธิภาพปลอดภัย

นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมการให้บริการ Digital Platform และ AI-Empowered Solution ระดับประเทศ เปิดเผยว่า วันนี้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมีบทบาทอย่างมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและธุรกิจทั่วโลก รวมถึงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน โดยสกาย ไอซีที ในฐานะ Tech Company ที่มุ่งมั่นนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย จึงได้เดินหน้าแผน “CONNECTING THAILAND” เชื่อมต่อเทคโนโลยีทันสมัยเข้ากับภาคธุรกิจและการดำเนินชีวิตของผู้คน และเชื่อมต่อระบบนิเวศทางเทคโนโลยี (Tech Ecosystem) ของประเทศไทยให้พร้อมเดินหน้าสู่อนาคตที่ดี

ทั้งนี้ แผน CONNECTING THAILAND ของบริษัทประกอบด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย 1.Advanced Tech สร้างสรรค์เทคโนโลยีขั้นสูงจากการนำหลากหลายเทคโนโลยี อาทิ IoT, Big Data, Cloud มาผสานการทำงานร่วมกัน จนเกิดเป็นโซลูชันใหม่ๆ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน 

2.AI-Empowered Solution พัฒนาและนำโซลูชันที่ต่อยอดจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาตอบโจทย์การดำเนินงานของภาคธุรกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิต 

3.Tech Talent Transformation มุ่งทรานส์ฟอร์มคน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร และสนับสนุนการสร้างว่าที่ Tech Talent คนรุ่นใหม่ให้พร้อมรับทุกกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี เพื่อร่วมแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคน รวมถึงพื้นที่การบ่มเพาะไอเดียใหม่เพื่อ Reskills และ Upskills ของ Tech Talent 

“วันนี้ทั้งวงการ Tech ตระหนักดีว่า พวกเรายังขาดแคลนบุคลากรทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเพื่อที่จะเชื่อมโยงประเทศไทยให้แข็งแกร่ง บริษัทจึงไม่ได้มองแค่การพัฒนาหรือสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ แต่มองไปถึงการสร้าง Tech Culture ที่ดี เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยยกระดับ Tech Talent เพื่ออนาคตของประเทศ” นายขยล กล่าว 

นายขยล กล่าวต่อว่า ล่าสุดบริษัทได้พัฒนาพื้นที่แบบ Hybrid Function ภายใต้ชื่อ “SKY Space” บริเวณชั้น 1 ของอาคาร เอเอ แคปปิตอล ถ.รัชดาภิเษก ซึ่งเป็นอาคารที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ บริษัท สกาย ไอซีที โดยพื้นที่ดังกล่าว ได้รับการออกแบบให้ภายในพื้นที่เดียว สามารถตอบโจทย์ได้ถึง 3 ฟังก์ชัน ได้แก่ 1.Smart Office เป็นพื้นที่สำนักงานอัจฉริยะสำหรับพนักงานของ SKY โดดเด่นด้วยระบบ Access Control ใช้การสแกนใบหน้าในการเข้าพื้นที่ต่างๆและใช้การสแกนป้ายทะเบียนรถในการเข้าลานจอดรถ เชื่อมต่อด้วยระบบ Internet of Thing ให้สามารถจองห้องประชุม จอง Smart Locker เปิดและปิดไฟในห้องต่างๆ ได้ผ่าน Web Application 

2.Tech Simulation Space เป็นพื้นที่ที่รวบรวมเทคโนโลยีล้ำสมัยของบริษัท ทั้งกลุ่ม Advanced Tech และกลุ่ม AI-Empowered Solution ซึ่งเป็นรากฐานของแพลตฟอร์มอัจฉริยะต่างๆ ของบริษัทมาไว้ในพื้นที่เดียว เพื่อจัดแสดงให้ภาคธุรกิจ หรือผู้สนใจสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ โดยมีหลากหลายไฮไลต์ที่น่าสนใจ Face Tracking การตรวจจับใบหน้าผ่านกล้อง AI CCTV ให้ AI ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ค้นหาบุคคลต้องสงสัยได้แบบเรียลไทม์ Intrusion Alert ส่งสัญญาณแจ้งเตือนทันที เมื่อมีผู้บุกรุกในบริเวณที่กำหนด People Counting การนับจำนวนคนเข้าออกด้วย AI CCTV 

โดยในส่วนของเทคโนโลยีนี้เอง สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานคอนเสิร์ต และธุรกิจค้าปลีกที่ต้องการนับจำนวนคนเข้าออกในแต่ละวันได้ Heat Map สำหรับตรวจดู Customer Journey และความหนาแน่นของการใช้บริการพื้นที่ต่างๆ ด้วยเทคโนโลยี Smart Sensor ระบบ Visitor Management System เพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกสบายให้ผู้ใช้งาน 

รวมถึงสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าให้แขกเข้าออก-อาคารได้ง่ายขึ้น สนับสนุนการทำงานของนิติบุคคลอาคารต่างๆขณะเดียวกัน ยังยกฟังก์ชันของห้อง Security Operation Center (SOC) ห้องปฏิบัติการด้านความปลอดภัยอัจฉริยะสุดล้ำ เบื้องหลังของ Smart Security Platform ภายใต้ชื่อ TOSSAKAN (ทศกัณฐ์) ที่สามารถทำงานร่วมกับอาคารถึง 7 กลุ่ม มาจำลองให้ชมได้อีกด้วย 

3.Incubator Space เป็นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับการจัดกิจกรรมพัฒนา Tech Talent หลากหลายรูปแบบ อาทิ การจัดงาน Tech Talk การจัดอีเวนท์ด้านเทคโนโลยี การจัดพื้นที่ Codecamp โดยบริษัทเปิดกว้างทั้งการเป็นผู้จัดงานเองและเปิดให้ Tech Talent จากภายนอกเข้าร่วมฟัง โดยถึงการจับมือกับพันธมิตร ทั้งสถาบันการศึกษา ตลอดจนองค์กรอื่นๆ ร่วมกันจัดงาน อีดทั้งยังเปิดกว้างให้หน่วยงานด้านเทคโนโลยีจากภายนอก เข้ามาใช้พื้นที่จัดงานด้าน Tech ได้อีกด้วย 

“บริษัทหวังว่า SKY Space จะเป็นพื้นที่ Hybrid Function ที่สะท้อนความเป็น Tech Company for New Gen ผ่านเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจและการใช้ชีวิตยุคใหม่ และจะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ช่วยให้บริษัท สร้าง Tech Culture ที่ดี และช่วยสร้าง Tech Talent เพื่อ Connecting Thailand” นายขยล กล่าว

นายขยล กล่าวต่อว่า ล่าสุดบริษัทได้พัฒนา และเปิดตัว “VIMARNN” (วิมาน) แอปพลิเคชันอัจฉริยะที่จะมาช่วยบริหารจัดการในเรื่องของผู้มาติดต่อจากภายนอก โดยขณะนี้ได้มีการนำไปทดลองใช้จริงในโครงการคอนโดมิเนียนชั้นนำ 3-4 โครงการ เพื่อเกิดข้อมูลจากการใช้งานจริงว่ามีปัญหาติดขัด หรือต้องเพิ่มในฟังก์ชันไหน 

ทั้งนี้ VIMARNN จะพัฒนาโดยใช้ระบบ AI บันทึกตั้งแต่ทะเบียนรถ โดยจะทำงานร่วมกับระบบกล้องวงจรปิด ทั้งนี้เจ้าของที่พักอาศัยสามารถเข้าไปดำเนินการแจ้งรายละเอียดผู้มาติดต่อในระบบ ทั้งชื่อผู้มาติดต่อ ทะเบียนรถ เวลาที่จะมาพบ ซึ่งจุดนี้ก็ตัดในเรื่องของเจ้าหน้ารัดษาความปลอดภัยที่ต้องมาจดรายละเอียด และพิมพ์ใบเข้าที่พักอาศัยและให้เจ้าของบ้านประทับตราเพื่อใช้ยื่นคืนในเวลาออก 

“แอปฯ VIMARNN ถือเป็นสิ่งที่อาคารสถานที่ ที่พักอาศัย สำนักงาน ควรมี เพื่อความสะดวดสบายในการบริหารจัดการผู้มาเยือน ผู้มาติดต่อ อีกทั้งยังมีความปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้หากเกิดเหตุอันตราย โดยเชื่อมโยงระบบกับ SOC ได้อีกด้วย” นายขยล กล่าว

นอกจากนี้ สกาย ไอซีที ยังรวมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาซูเปอร์แอปพลิเคชั่น ภายใต้ชื่อ “SAWASDEE by AOT” (สวัสดี บาย เอโอที) แอปฯ ที่จะมาเป็นเพื่อนคู่ใจนักเดินทาง โดยในแอปฯ จะบอกรายละเอียดทุกอย่างที่นักเดินทาง-สายชอบเที่ยวควรรู้ เริ่มที่ตารางเที่ยวบิน (ไฟล์ทบิน) ที่เช็คได้แบบเรียลไทม์ เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการเวลาที่ใช้เดินทางไปสนามบิน โดยกรอกรายละเอียดไฟล์ทบิน รายละเอียดทุกอย่างก็จะแสดงให้เห็นบนหน้าจอ

ไม่เพียงเท่านั้นในแอปฯ ยังบอกถึงร้านอาหาร ที่มีโปรโมชันน่าสนใจ โปรโมชันสินค้าราคาพิเศษ เพื่อให้ผู้ใช้บริการทราบ ง่ายต่อการไปช้อปปิ้ง อีกทั้งยังใช้ดำเนินการจองแท็กซี่ในสนามบิน เพื่อตัดปัญหาในเรื่องต้องไปต่อคิวยาวรอเรียกแท็กซี่ โดยหลังการจองในระบบจะระบุเลขทะเบียนแท็กซี่ โดยทาง AOT ก็ได้จัดช่องทางเพิ่มในส่วนของบริการในจุดนี้ไว้แล้ว อีกทั้งมีการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของไทยที่น่าสนใจ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

“แอปฯ SAWASDEE by AOT เปิดตัวเป็นทางการไปเมื่อช่วง พ.ย.64 ซึ่งก็มียอดดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 600,000 คนความท้าทายจากนี้คือ การสื่อสารให้ยอดผู้ใข้บริการเพิ่มขึ้น ทั้งจากชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งปีนี้บริษัทก็ตั้งเป้ายอดดาวน์โหลดใช้บริการที่ 10% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทย อีกทั้งในอนาคตก็วางเป้าไว้ว่า หากนักท่องเที่ยวเดินทางมาเมืองไทยก็อยากให้ใช้แอปฯนี้ เป็นผู้ช่วยจัดการการเดินทาง” นายขยล กล่าว