“ศักดิ์สยาม”แก้ปัญหาความล่าช้าจากการโหลดกระเป๋าสัมภาระที่สนามบินสุวรรณภูมิ จี้!การบินไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในสองผู้ให้บริการภาคพื้น เร่งแก้ปัญหาให้ได้ภายใน 30 วัน โดยให้เร่งนำเสนอแผนปฏิบัติการให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาในสัปดาห์หน้า ขู่!หากทำไม่ได้ ให้ ทอท.เพิ่มผู้ให้บริการเข้ามาเพิ่มเติม
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาความแออัดผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ขาเข้าและขาออก ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ว่า จากการลงพื้นที่พบว่าการแก้ปัญหาความแออัดบริเวณจุดตรวจหนังสือเดินทางผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ภายหลังจากที่มีการทำงานแบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดนั้นสามารถบรรเทาความแออัดบริเวณจุดตรวจหนังสือเดินทางได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยผู้โดยสารใช้เวลารอคิวเพื่อตรวจหนังสือเดินทางเฉลี่ย 15 นาทีต่อคน และใช้เวลาหน้าจุดตรวจหนังสือเดินทาง 60 วินาทีต่อคน
อย่างไรก็ตามขณะนี้พบว่า มีปัญหาเรื่องของความล่าช้าการระบายผู้โดยสารอีกสาเหตุ คือ การรอกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารขาเข้า ซึ่งปัจจุบันนี้ที่ สุวรรณภูมิ มีผู้ให้บริการภาคพื้น ที่เกี่ยวข้องกับการโหลดกระเป๋าสัมภาระ 2 ราย คือ บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) และ บริษัท Bangkok Flight Services (BFS) โดยในส่วนของ BFS ไม่ค่อยมีปัญหาความล่าช้าแต่จะมีปัญหาอยู่ที่การบินไทย ซึ่งทราบที่มาของปัญหาเบื้องต้นว่ามาจากการที่บริษัทได้ลดขนาดองค์กร และบุคลากรลง ในช่วงที่ไม่ได้ทำการบินจากสถานการณ์ โควิด-19 แต่ในขณะนี้ มีการเปิดประเทศและเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวแล้ว ดังนั้นจำเป็นต้องเร่งเพิ่มบุคลากรเข้ามาให้เพียงพอต่อความต้องการใช้บริการ
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า การรอกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารนั้นไม่ควรเกิน 30 นาที ดังนั้น จึงขอให้การบินไทยกลับไปจัดทำแผนปฏิบัติการหรือ Action Plan แล้วกลับมานำเสนอให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความแออัดของท่าอากาศยานที่มีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิจารณาในสัปดาห์หน้าว่าจะสามารถแก้ปัญหาความล่าช้าของการรอกระเป๋าสัมภาระได้อย่างไรภายใน 30 วัน ในส่วนนี้ยอมรับว่าหากไม่สามารถดำเนินการได้ กระทรวงคมนาคม ได้ให้นโยบายแก่ ทอท.ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ให้เพิ่มผู้ประกอบการเข้ามาดำเนินการเกี่ยวกับงานบริการภาคพื้นโหลดกระเป๋าสัมภาระ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้หมดไป ซึ่งการเพิ่มบุคลากรให้เพียงพอต่อความต้องการในการใช้บริการของผู้โดยสารนั้นยังได้สั่งการครอบคลุมถึงการให้บริการระบบเช็กอินของสายการบินที่เคาน์เตอร์ในท่าอากาศยานทุกแห่งของ ทอท.ด้วย
นอกจากนี้ยังมีประเด็นเที่ยวเกี่ยวกับการให้บริการของแท็กซี่ที่สนามบินสุวรรณภูมิซึ่งก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ โควิด-19 มีผู้ประกอบการขับรถแท็กซี่ประมาณ 4,200 รายแต่จำนวนผู้ประกอบการได้ลดลงเหลือประมาณกว่า 2,400 รายเท่านั้น จึงได้ให้นโยบายให้ผู้ประกอบการไปหาแนวทางในการเพิ่มผู้ขับรถกลับเข้ามาให้เพียงพอต่อความต้องการใช้บริการ โดยเป็นการแก้ไขปัญหาเองของผู้ประกอบการก่อนหากไม่สามารถดำเนินการได้ก็ได้สั่งการให้ ทอท.เข้าไปดำเนินการแก้ปัญหาต่อไป
ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม ได้คาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารในช่วงเดือนธันวาคม 65 สนามบินสุวรรณภูมิมิจะมีจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศและภายในประเทศ รวมประมาณ 130,000 คน/วัน เพิ่มขึ้น 13% จากเดือนพฤศจิกายน 65 ที่มีจำนวนผู้โดยสารรวมประมาณ 115,000 คน/วัน รวมทั้งมอบนโยบายให้ ทอท. ดำเนินการแก้ไขปัญหาความคับคั่งในท่าอากาศยาน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตได้อย่างยั่งยืน และในปี 66 ให้เร่งเปิดใช้งานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) เพื่อลดความแออัดในพื้นที่ตรวจหนังสือเดินทางบริเวณอาคารผู้โดยสารหลัก และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการผู้โดยสารได้ดียิ่งขึ้นด้วย