“ศักดิ์สยาม”เป็นปลื้ม!หลังญี่ปุ่นโปรยยาหอมร่วมมือพัฒนา”รถไฟเร็วสูง-MR-Map”-มั่นใจเป็นจุดเริ่มต้นพัฒนาเศรษฐกิจมั่นคงและยั่งยืนให้กับภูมิภาคอาเซียน

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย – ญี่ปุ่น (High Level Joint Commission: HLJC) ครั้งที่ 5ว่า การประชุมดังกล่าวเพื่อร่วมพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รวมทั้ง ร่วมดำเนินการในโครงการความร่วมมือด้านคมนาคมไทย-ญี่ปุ่น เนื่องจากในปัจจุบันกระทรวงคมนาคมได้มีการจัดทำแผนแม่บทขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ 2 (M-MAP2) นอกจากนั้นยังการพัฒนาพื้นที่บางซื่อสู่เมืองอัจฉริยะ ,ขณะเดียวกันยังมีความร่วมมือการศึกษาโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพมหานคร-เชียงใหม่ ,ความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางถนน และล่าสุด บันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคม และ กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (MLIT) ด้านแผนงานนโยบายและเทคโนโลยีการจราจร โดยเป็นการให้ความร่วมมือ ทางวิชาการให้ก่อเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในการแปรนโยบายไปสู่การปฏิบัติ

ทั้งนี้ในที่ประชุมทางกระทรวงคมนาคม ยังได้มีการนำเสนอแผนแม่บทโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองกับระบบราง (MR-Map) ความคิดริเริ่มในก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองควบคู่ไปกับระบบรางเป็นเส้นทางเดียวกัน โดนจะมีการนำร่องใน 4 เส้นทางที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย ชุมพร-ระนอง เชื่อมโยงระหว่างทะเลอันดามัน-อ่าวไทย หนองคาย-ท่าเรือแหลมฉบัง กาญจนบุรี -อุบลราชธานี และวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร รอบที่ 3 โดยผลการศึกษาเบื้องต้นจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ของปี 264 ที่จะสอดรับกับนโยบาย Indo-Pacific เพื่อสร้างสรรค์โครงข่ายการพัฒนาเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับภูมิภาคอาเซียน พร้อมกันนี้ ได้ให้ความเชื่อมั่นสำหรับการเดินหน้าพัฒนาโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของไทยเพื่อความเชื่อมโยงในทุกระดับ สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาค

ด้านนายวาตะนาเบะ ทาเคยูกิ (H.E. Mr. WATANABE Takeyuki) รมช.ที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (State Minister of Ministry of Land, Infrastructure, Transport and Tourism) กล่าวว่า ทางญี่ปุ่นเห็นด้วยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทั้งการแสวงหาแนวทางลดต้นทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพมหานคร-เชียงใหม่ และการดำเนินการร่วมกันภายใต้บันทึกความร่วมมือฯ โดยยกตัวอย่างการพัฒนาโครงการอุโมงค์ทางลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา (นราธิวาส-สำโรง) ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ (Quality Infrastructure) และการดำเนินงานเชิงรุกกับกระทรวงคมนาคม       ในการพัฒนาระบบรางและการเชื่อมโยงในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงต่อไป นอกจากนั้นทางญี่ปุ่นขอชื่นชมความสำเร็จของโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ที่ได้เปิดทดลองให้บริการแล้ว เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 64 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ในที่ประชุมฯยังได้มีการหารือกันในประเด็นการประสานความร่วมมือระหว่างโมเดลเศรษฐกิจ Bio Circular Green (BCG) Economy ของไทย กับ Green Growth Strategy ของญี่ปุ่น การยกระดับความร่วมมือในด้านค้า การลงทุน การพัฒนาอุตสาหกรรมและการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจระหว่างกัน รวมถึงประเด็นด้านสาธารณสุข เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างยั่งยืนด้วย