“วิกฤตการณ์เศรษฐกิจ” ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ผ่านมาถึง ไวรัสมรณะ เกิดอะไรขึ้นบ้างจะได้ทำตัวถูก ผ่านประสบการณ์ของ ดร.โกร่ง

เราเคยผ่านวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและหรือวิกฤตการณ์ทางการเงินเป็นระยะๆ มาหลายครั้งแล้ว วิกฤตเศรษฐกิจอันเกิดจากโรคระบาดไวรัสโคโรนา 2019จึงเป็นเรื่องปกติที่เราจะผ่านไปได้ไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอะไรจากรัฐบาล เพราะรัฐบาลคงจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก บางครั้งมีแต่ทำให้สถานการณ์เลวลงด้วยซ้ำ

ที่เห็นได้ชัดก็คือการกักตุนหน้ากากอนามัยและการกักตุนไข่ไก่ เพราะการเข้ามาขัดขวางการทำงานของกลไกตลาด การเข้ามาควบคุมราคา ซึ่งบางทีก็ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตหรือราคาส่งออก ทำให้ของหายไปจากท้องตลาด ถ้าปล่อยให้ราคาขึ้นลงอย่างเสรีตามหลักความต้องการซื้อความต้องการขาย หลักดีมานด์ ซัพพลายปัญหาไข่ขาดตลาดก็จะไม่มี 

  • วิกฤตเศรษฐกิจจากพิษไวรัส
  • กับการขัดขวางกลไกตลาด

เมื่อเกิดความตระหนกจากการเสนอข่าวที่น่าตกอกตกใจ จากกรณีความรุนแรงของการระบาดของไวรัสที่อิตาลี สเปน อังกฤษและสหภาพยุโรป ลามไปถึงรัสเซีย และ ประเทศยุโรปตะวันออก รวมทั้งข้ามมหาสมุทรแอนแลนติคไปยัง สหรัฐ อเมริกา แคนาดา และลาตินอเมริกา ซึ่งประเทศต่างๆ ต้องประกาศปิดประเทศห้ามการเดินทางของมนุษย์ ห้ามเรือเดินสมุทร และอากาศยานเข้าออกประเทศ ทุกประเทศถูกปล่อยเกาะกลายเป็นโรบินสัน ครูโซ ที่ร้ายไปกว่านั้น ภายในประ เทศของหลายประเทศยังปิดการเคลื่อนย้ายขนส่งระหว่างมลรัฐ ระหว่างเมือง ระหว่างเขตต่างๆ เสียอีก

โลกสมัยใหม่นี้มีการแบ่งงานกันทำ แบ่งงานกันผลิต เพื่อจะทำให้ผลผลิต มีต้นทุนที่ต่ำที่สุด รถยนต์คันหนึ่งอาจจะมีชิ้นส่วนประกอบที่ผลิตจากประเทศต่างๆมากกว่า 20-30 ประเทศก็ได้ เช่นตะปูเกลียวชุดหนึ่ง ตะปูเกลียวตัวผู้อาจจะผลิตที่เม็กซิโก ส่วนเกลียวตัวเมียอาจจะผลิตที่ประเทศอินเดียหรือประเทศเวียดนามก็ได้ไม่มีใครรู้

  • การปิดประเทศ ห้ามขนส่งระหว่างกัน
  • ส่งผลกกระทบต่อห่วงโซ่การผลิต

เมื่อเกิดการปิดประเทศ ห้ามการเดินทาง ห้ามการขนส่งระหว่างประเทศ  ห่วงโซการผลิตก็จะขาดตอน การขาดแคลนก็คงเกิดขึ้นทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะสินค้าสำเร็จรูปเท่านั้น แต่รวมไปถึงวัตถุดิบชิ้นส่วนต่างๆ ด้วย ดังนั้นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจทางด้านการผลิตก็คงจะเกิดขึ้น 

มาตรการการห้ามการชุมนุมกัน การปิดบริษัทห้างร้าน ก็จะทำให้รายได้ของทุกคนลดลง ทั้งผู้ใช้แรงงาน ทั้งพ่อค้าแม่ค้าที่ขายปลีกขายส่ง ผู้ทำหน้าที่ขนส่งทั้งขนคนและขนของก็คงจะลดลงไปด้วย ไม่ใช่เฉพาะรถไฟ เรือเมล์ เครื่องบิน และอื่นๆ อันจะทำให้กิจการต่อเนื่องต่างๆ ได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วย วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ก็คงจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กลายเป็นวิกฤตการณ์ที่ไม่  เหมือนวิกฤตการณ์อื่นๆ ที่เคยประสบมาแล้ว

  • ย้อนหลังกลับไปดูวิกฤตเศรษฐกิจ
  • สงครามโลกครั้งที่ 1 กระทบถึงไทย

วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เราพบ ทั้งที่พบเห็นด้วยตนเอง และที่อ่านจากประวัติศาสตร์ ก็ได้แก่วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แม้ว่าฝ่ายพันธมิตรจะเป็นฝ่ายชนะสงคราม แต่ฝ่ายพันธมิตรก็ประสบกับปัญหาเศรษฐ กิจตกต่ำ และกระจายไปทั่วโลก ที่เรียกว่า World Economic Recession 

กระทบกระเทือนมาถึงเมืองไทย ที่รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประสบการขาดดุลงบประมาณอย่างหนัก  แต่เนื่องจากสมัยนั้นระบบการเงินของโลก ยังไม่พัฒนา วิชาเศรษฐศาสตร์ยังไม่พัฒนา การแก้ไขปัญหาการขาดดุลงบประมาณ คือ การตัดงบประมาณรายจ่าย ซึ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง จนลอร์ด จอห์น เมนาร์ด เคนส์ ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลต้องขาดดุลมากขึ้น โดยการลง ทุนจ้างงาน สร้างถนนหนทาง และทางรถไฟ ท่าเรือ และอื่นๆ 

  • สินค้าขาดแคลนในสงครามโลกครั้งที่ 2
  • ส่งผลให้เมืองไทยต้องพึ่งพาตนเอง

แม้จะเริ่มมีการใช้เงินกระดาษกันแล้ว แต่การค้าระหว่างประเทศก็ยังต้องพึ่งทุนสำรองที่เป็นทองคำ และเงินที่เป็นโลหะ การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินกลางเช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ เพื่อนำมาเสริมสภาพคล่องระหว่างประเทศ หรือเงินปอนด์สเตอริงซึ่งขณะนั้นเป็นสกุลเงินที่อยู่ในมาตรฐานการค้า ก็ยังไม่มี  การใช้โลหะทองคำและเงินเป็นสื่อกลางในการค้าขายระหว่างประเทศจึงเป็นอุปสรรคสำคัญในการขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศ

ต่อมาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจสินค้าขาดแคลนเพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2  ทำให้การนำเข้าสินค้าหลายอย่างทำไม่ได้ สินค้าหลายอย่างที่รัฐบาลถือว่าเป็นยุทธปัจจัย เช่น ข้าว ยางพารา ดีบุกและไม้สัก ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของเราก็ถูกห้ามส่งออก เราจึงขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ รัฐบาลจึงจำกัดการนำเข้า คนไทยจึงต้องปลูกฝ้ายไว้ทอผ้าใช้เอง เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มขาดแคลน นำเข้าไม่ได้ มะเกลือกับต้นครามขาดแคลนเพราะต้องใช้ย้อมผ้าสีดำและสีคราม หรือสีน้ำเงินเพราะสีย้อมผ้าขาดแคลน ต้องใช้วัตถุดิบในประเทศเช่น ขมิ้นและแก่นไม้ขนุนและอื่นๆ นำมาต้มใช้เป็นสีย้อมผ้า 

  • ไทยต้องจ่ายค่าปฏิกรรมเป็นข้าวสาร
  • ก่อกำเนิดระบบจัดเก็บพรีเมี่ยมข้าว

นอกจากนั้นเนื่องจากเราเป็นฝ่ายแพ้สงคราม อังกฤษบังคับให้เราจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามเป็นข้าวสารจำนวน 1 ล้านตัน เพื่อส่งมอบให้รัฐบาลอินเดียซึ่งเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ทำให้เกิดการกักตุนข้าวสาร รัฐบาลจึงห้ามการส่งออก รัฐบาลเป็นผู้ส่งออกผู้เดียว และกำหนดให้ผู้ที่ได้รับมอบทำการส่งออกแทนรัฐบาลต้องเสียภาษีขาออกในรูปพรีเมี่ยมข้าว  และจากการส่งออกทำให้ราคาข้าวสารในประเทศต่ำกว่าราคาในตลาดโลก กว่าจะเลิกได้ก็เป็นสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลา นนท์เมื่อปี 2525 

ผู้ที่คัดค้านการยกเลิกพรีเมี่ยม และอากรขาออกข้าวที่ขันแข็งที่สุดคือ รัฐมน ตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จากพรรคประชาธิปัตย์ จนนายกรัฐมนตรีต้องใช้มติคณะรัฐมนตรีจึงสำเร็จ แต่ในที่สุดก็ไม่ต้องส่งมอบข้าวให้อินเดีย แต่นโยบายข้าวราคาถูกกว่าตลาดโลกก็ยังอยู่ ภาษีขาออก และพรีเมี่ยมข้าวก็ยังคงอยู่ การผลิตข้าวจึงไม่ขยายตัวเท่าที่ควร 

  • น้ำมันดิบ ก่อให้เกิดวิกฤตใหญ่อีกครั้ง
  • ราคาตลาดโลกพุ่งขึ้นจากเดิมหลายเท่า

วิกฤตการณ์ต่อมาคือ วิกฤตการณ์เศรษฐกิจอันเกิดจากวิกฤตการณ์น้ำมัน ที่ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันโดยมีประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นหัวหอก รวมกลุ่มกันตั้งองค์การผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปค OPEC ลดปริมาณการผลิตลง ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีราคาสูงขึ้น น้ำมันดิบที่เคยมีราคาเพียง 2 ดอลลาร์ต่อบาเรล ก็ถีบตัวสูงขึ้นกว่า 40 ดอลลาร์ต่อบาเรล 

ไทยเราเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ  รายจ่ายเมื่อนำเข้าน้ำมันเคยมีสัดส่วนเพียง 2-5 เปอร์เซ็นต์ของการนำเข้า ก็พุ่งสูงขึ้นถึง 25 เปอร์เซ็นต์หรือ 1 ใน 4 ของการนำเข้า ทำให้เกิดการขาดดุลอย่างหนัก 

เมื่อรัฐบาลประกาศการควบคุมราคา น้ำมันก็หายไปจากท้องตลาด รัฐบาลจึงใช้มาตรการประหยัดไฟ ไฟถนน เปิดข้างปิดข้าง สถานีจ่ายน้ำมันมีกำหนดเวลาเปิดตี 5 ปิด 4 ทุ่ม ห้ามเติมเกินความจำเป็น

  • ขอเข้าโครงการเงินกู้จากกองทุนการเงินฯ
  • ระบบอัตราแลกเปลี่ยนตรึงไว้กับตะกร้าเงิน 

แต่ก็ยังไม่สำเร็จจนต้องเข้าโครงการ กู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประ เทศ(IMF)ในปี 2525 และต้องเปลี่ยนระบบกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนจากการตรึงค่าเงินไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐสกุลเดียว มาเป็นตรึงไว้กับตะกร้าเงินซึ่งประกอบด้วย เงินหลายสกุล และในที่สุดก็ต้องลดค่าเงินบาท วิกฤตการณ์ทางการเงินจึงลดลง

แต่เนื่องจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่ยังตรึงค่าเงินไว้กับตะกร้าเงิน ซึ่งเต็มไปด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินบาทจึงคงแข็งเกินไป จนถูกโจมตีโดยกองทุนตรึงค่าเงินจากสหรัฐอเมริกา เกิดเป็นวิกฤตการณ์ “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540 อันเป็นสาเหตุที่เราต้องเข้าโครงการกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศอีก 

ถูกกองทุนการเงินระหว่างประเทศกำหนดเงื่อนไขตามมาตรการ “รัดเข็ม ขัด” อย่างเข้มงวด เพื่อลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เช่น ขึ้นราคาน้ำมัน ไฟฟ้าน้ำประปา ขึ้นภาษี ตัดงบประมาณ เป็นที่เดือดร้อนกันทั่วไป ซึ่งเป็นนโยบายที่ผิดพลาด เศรษฐกิจหดตัวโดยธรรมชาติอยู่แล้วยังมาให้ใช้โครงการ “รัดเข็มขัด” เพิ่มเติมอีก จึงทำให้เศรษฐกิจหดตัวมากกว่าที่ควรจะเป็น   

จนถึงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่สามารถชำระหนี้กองทุนการเงินระ หว่างประเทศทั้งหมดได้ก่อนกำหนด  เราจึงพ้นจากพันธกรณีรัดเข็มขัดจากไอเอ็มเอฟหรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ  สาปส่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่ให้ใช้นโยบายสูตรสำเร็จเดียวกับทุกคน หรือ one shirt fits all หรือ one formula fits allดังนั้นจึงไม่มีใครโง่เขลาเรียกหาไอเอ็มเอฟอีกโดยไม่จำเป็นโดยเฉพาะประเทศไทย 

  • เศรษฐกิจตกต่ำจากการป้องกันไวรัส
  • ไม่ใช่เรื่องการเงิน-ไม่เกี่ยวกับไอเอ็มเอฟ

ประเทศสุดท้ายที่ต้องเข้าโครงการกู้เงินไอเอ็มเอฟ และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่โง่เขลาของไอเอ็มเอฟ คือประเทศกรีซ ที่ประชาชนเดินขบวนขับไล่รัฐบาลและเดินขบวนต่อต้านไอเอ็มเอฟ  รัฐมนตรีที่เรียกร้องบริการจากไอเอ็มเอฟโดยไม่จำเป็น จึงเป็นรัฐมนตรีที่โง่เขลาเบาปัญญา ไม่มีความรู้เรื่องการเงินระหว่างประ เทศ เป็นที่น่าอับอาย เพราะวิกฤตการณ์ที่เรากำลังจะประสบ คือ วิกฤตการณ์ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจากมาตรการป้องกันโรคระบาดไวรัสโคโรนา ไม่ใช่วิกฤต การณ์ทางการเงินเพราะดุลการค้าบัญชีเดินสะพัดของเรายังไม่มีปัญหา 

ปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเกิดจากการปิดเมืองโดยไม่มีมาตรการรองรับ ทำให้คนที่เป็นแรงงานกลับบ้าน นำเอาเชื้อโรคไประบาดในต่างจังหวัด แทนที่จะอยู่แต่กรุงเทพและปริมณฑล  เกิดจากการฝ่าฝืนมติของคณะรัฐมนตรีของสนามมวยลุมพินีที่อยู่ภายใต้การกำกับของทหารบก กลายเป็นที่แพร่เชื้อโรค  มาตรการควบคุมราคาทำให้อาหารการกินขาดตลาด และมีราคาแพง  การบริหารราชการ แผ่นดินที่ขาดประสิทธิภาพ ทำให้โรคระบาดแพร่เป็นวงกว้างยากต่อการควบคุม

วิกฤตการณ์เศรษฐกิจของเราคราวนี้ ไม่เกี่ยวกับคุณพ่อไอเอมเอฟ ไม่ต้องไปเรียกมา