ลุยภาคกลางต่อ!…คมนาคม-เกษตรฯ kick off ยางพารา จ.อุทัยธานี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดโครงการนำการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน (Kick Of) พร้อมด้วย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดี กรมทางหลวง นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ,นายวิศิษฏ์ ศรีสุวรรณ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ร่วมงาน

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมกันผลักดันโครงการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงความปลอดภัยทางถนน โดยนำยางพารามาเป็นส่วนผสมในการทำเครื่องกั้นถนนครอบวัสดุยางพาราหรือ rubber fender berier และหลักนำทางยางธรรมชาติ โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณตั้งต้นโครงการฯ เพื่อใช้ภายในเดือน พ.ย. 63 วงเงินกว่า 2,700 ล้านบาท หลังจากนั้นได้เดินหน้า kick off สร้างการรับรู้กับชาวสวนยาง เริ่มจากจังหวัดจันทบุรี ซึ่งพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานเปิดโครงการ และกระทรวงคมนาคม ยังได้ลงพื้นที่เริ่ม kick off โครงการในหลายจังหวัด สตูล นครพนม บึงกาฬ เลย และล่าสุดที่จังหวัดอุทัยธานี

ทั้งนี้ทางกรมทางหลวง (ทล.) และ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้กำหนดแผนการดำเนินโครงการ ดังกล่าว ในปีงบประมาณ 63-65โดย มีปริมาณการใช้ยางพารา จำนวน 1,007,951 ตัน และจะนำ 2 ผลิตภัณฑ์ ดังกล่าว มาใช้ติดตั้งบนถนนของ ทล. และ ทช. ระยะทางรวม 12,282 กิโลเมตร คิดเป็นผลประโยชน์ที่เกษตรกรชาวสวน ยางจะได้รับ จำนวน 30,108 ล้านบาท และจะมีการสำรวจตรวจสอบเพื่อเปลี่ยนแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต และหลักนำทางยางธรรมชาติ ทดแทนที่เสื่อมสภาพหรือมีความเสียหายเกิดขึ้น ซึ่งต้องใช้ยางพาราในทุกๆ ปี ปีละไม่น้อย กว่า 336,000 ตัน

สำหรับปริมาณการใช้ยางพาราในโครงการดังกล่าวนั้น จะเห็นได้ว่าก่อนหน้านี้ในปี 62 มีปริมาณการใช้น้ำอย่างพาราสดในโครงการของรัฐมากกว่า 129,000 ตัน แต่เมื่อมีโครงการนำร่องการนำยางพารามาผลิตใช้อุปกรณ์ความปลอดภัยบนท้องถนนใน3เดือนนี้ พบว่า มีปริมาณการใช้ยางพารากว่า 50,000 ตัน ซึ่งถือว่า เป็นปริมาณการใช้ ที่เท่ากับปริมาณในปี 61
โดยกระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มั่นใจว่าโครงการยางพาราเพื่อความปลอดภัยทางถนนนี้ เมื่อมีเป้าหมายในการใช้ยางพาราแต่ละปีชัดเจน จะช่วยสร้างเสถียรภาพด้านราคาให้แก่ยางพาราเพิ่มขึ้น โดยหลังจากการเริ่มต้นโครงการเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา 1 เดือน ล่าสุดราคาน้ำยางพารา อยู่กิโลกรัมละ 63 บาท

ขณะที่ราคายางก้อนถ้วย มีเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีนิยมผลิตเพื่อทำการขายนั้น ก่อนที่จะมีโครงการราคาเคยตกต่ำถึงกิโลกรัมละ 8 บาท ก่อนที่จะมีการเริ่มต้นโครงการฯ แต่ ณ วันนี้ ราคายางก้อนถ้วยอยู่ที่กิโลกรัมละ 22 บาท โดยกระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป้าหมายที่จะผลักดันให้ราคายางก้อนถ้วยนี้ กิโลกรัมละ 28 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับจังหวัดอุทัยธานี เป็นจังหวัดในภาคกลางของไทย ที่มีการปลูกยางพาราจำนวนมากโดยข้อมูลล่าสุดของการยางแห่งประเทศไทยพบว่ามีเกษตรกรชาวสวนยางจำนวน 1994 รายพื้นที่ปลูกยางรวมทั้งสิ้น 35, 878 ไร่ โดยผลผลิตยางพาราแบ่งเป็นยางแผ่นดิบ 598 ตันคิดเป็นร้อยละ 77.25 และยางก้อนถ้วย 155 ตันคิดเป็นร้อยละ 20.0 2 ( ข้อมูลณวันที่ 23 กันยายน 2563)

นอกจากนี้ จังหวัดอุทัยธานียังเป็นจังหวัดที่มีสหกรณ์ชาวสวนยางที่เข้มแข็ง โดยกระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรฯ มั่นใจว่าการดำเนินโครงการใช้ยางพาราเพื่อความปลอดภัยทางถนน ซึ่งจะใช้สหกรณ์สวนยาง เป็นกลไกในการรับซื้อยางจากชาวสวน จะมีส่วนในการสนับสนุนให้มีการกำหนดราคารับซื้อที่สร้างรายได้แก่ชาวสวนยางในระดับที่น่าพอใจ ทำให้ราคายางพาราในประเทศ มีเสถียรภาพได้ในระยะยาว

นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยว่า ตามที่เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2563 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่จังหวัดระยอง ได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง วงเงิน 2,770 ล้านบาทนั้น ถือเป็นการดำเนินการระยะที่ 1 โดยกรมทางหลวง (ทล.) และ ทช. ได้นำมาใช้ในการนำ 2 ผลิตภัณฑ์ คือ แผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier: RFB) และหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post: RGP) มาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน ประกอบกับการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณการใช้ยางพาราเอซีเหลือเพียงเอซีเท่านั้น รวมถึงงบประมาณเหลือจ่ายปี 2563 มาใช้ รวมงบประมาณที่ใช้ในระยะที่ 1 ทั้งสิ้น 4,400 ล้านบาท ทั้งนี้ จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน พ.ย. 2563 โดยในส่วนของ ทช. จะดำเนินการระยะที่ 1 แบ่งเป็น ใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีตบนนถนนของ ทช. ระยะทาง 209 กม. ขณะที่ หลักนำทางยางธรรมชาติ จะดำเนินการจำนวนกว่า 300,000 ต้น

ขณะที่ระยะที่ 2 นั้น ในช่วงกลาง พ.ย.นี้ จะเสนของบประมาณรายจ่ายงบกลางปี 2564 เพื่อนำมาดำเนินการต่อไป จากนั้นจะประเมินความคุ้มค่า รวมถึงสถิติอุบัติเหตุของโครงการ ทั้งนี้ จะดำเนินการให้เป็นไปตามแผนระนะ 3 ปี (2563-2565) โดยมีปริมาณการใช้ยางพารา จำนวน 1,007,951 ตัน มาใช้ติดตั้งบนถนนของ ทล. และ ทช. ระยะทางรวม 12,282 กิโลเมตร (กม.) ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้นกว่า 85,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นผลประโยชน์ที่เกษตรกรชาวสวนยางจะได้รับ จำนวน 30,108 ล้านบาท นอกเหนือจากนี้ ในช่วง พ.ย. 2563 จะตั้งงบประมาณปี 2565 เพื่อบรรจุเข้าในปีงบประมาณ 2566 ด้วย