รู้ทิศทาง ตามให้ทัน เศรษฐกิจรอบโลก

  • สหรัฐฯขึ้นบัญชีดำบริษัทเทคโนโลยีจีนอีก 8 บริษัท
  • ขณะที่ HP ประกาศปลดพนักงานท่ัวโลก 9,000 ตำแหน่ง
  • ส่วนสิงคโปร์แซงสหรัฐขึ้นแท่นเบอร์ 1 ศักยภาพการแข่งขันสูงสุด
  • ด้านฮ่องกง นักวิเคราะห์คาดเศรษฐกิจโตเพียง 0-1%

สิงคโปร์ขึ้นแท่นประเทศที่มีศักยภาพสูงสุด

World Economic Forum (WEF) แถลงว่า สิงคโปร์ได้แซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางการแข่งขันมากที่สุดในโลกแล้ว ทั้งนี้จากการจัดอันดับศักยภาพการแข่งขันของ 141 ประเทศทั่วโลกในปี 61 โดยประเมินจากปัจจัยต่างๆ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ ทักษะด้านดิจิทัล และภาษีการค้า โดยสิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านการแข่งขันมากสูงสุดในโลกจากความแข็งแกร่งภาคเอกชน แรงงาน ความหลากหลาย และโครงสร้างพื้นฐาน และอายุขัยประชากรก็ติดอันดับ 1 ที่มีอายุยืนยาวถึง 74 ปี ส่วนสหรัฐหล่นลงมาอยู่เป็นอันดับที่ 2 ได้คะแนนต่ำในบางเกณฑ์การประเมิน รวมถึงการขึ้นภาษีการค้า อายุขัยประชากรที่ลดลง และทักษะด้านดิจิทัลที่อยู่ในระดับต่ำในหมู่ประชากรชาวอเมริกัน สำหรับ 10 อันดับประเทศที่มีศักยภาพทางการแข่งขันมากที่สุดในโลกเรียงตามอันดับได ้แก่ สิงคโปร์ สหรัฐ ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เยอรมนี สวีเดน อังกฤษ เดนมาร์ก

“ซัมซุง” กำไรลดลงใน Q3 แต่ยังสูงกว่าคาด

ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ผลิตชิป และสมาร์ทโฟนรายใหญ่ระดับโลก คาดผลกำไรจากการดำเนินงานในไตร มาส 3/2562 จะอยู่ที่ 7.7 ล้านล้านวอน(6,400 ล้านเหรียญ)ลดลง 56.2% เมื่อเทียบไตรมาส 3 ปีที่แล้วซึ่งผลกำไรทะ ยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ดี ตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรของซัมซุงยังอยู่ในระดับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์ สำรวจของ S&P Global Market Intelligence คาดการณ์ว่า จะอยู่ที่ระดับ 7.2 ล้านล้านวอน ในไตรมาส 3 โดยได้หนุนการคาดการณ์ที่ว่า ห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ซบเซานั้น อาจใกล้ที่จะฟื้นตัวขึ้นแล้ว ส่วนรายได้ไตรมาส 3 ซัมซุงคาดว่าจะลดลง 5.3% สู่ระดับ 62 ล้านล้านวอน        

ขึ้นบัญชีดำบริษัทเทคโนโลยีจีน 8 แห่ง 

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทเทคโนโลยีจีน 8 แห่ง โดยอ้างว่าบริษัทเหล่านี้มีส่วนในการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในเขตปกครองตนเองซินเจียง การประกาศนี้นับเป็นครั้งแรกที่รัฐ บาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนด้วยเหตุผลด้านสิทธิมนุษยชน จากเดิมที่เคยอ้างเหตุด้านความมั่นคงของชาติ เช่นที่เคยทำกับ หัวเว่ย แถลงการณ์ยังระบุว่า บริษัทเหล่านี้มีการข่มเหง คุมขังบุคคลตามอำเภอใจ และใช้เทคโนโลยีสอดส่องชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นชาวมุสลิมกลุ่มน้อยในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งสหรัฐมองว่าเป็นการละ เมิดสิทธิมนุษยชน บริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำนี้จะไม่สามารถทำธุรกิจกับบริษัทสหรัฐได้ โดยบริษัทรายใหญ่ๆที่ถูกขึ้นบัญชีดำรอบนี้ มีทั้งบริษัทกล้องวงจรปิดยักษ์ใหญ่อย่าง Hikvision และ Da hua Technology ไปจนถึงบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่าง SenseTime และ Megvii

“HP” ปลดพนักงาน 7,000-9,000 คนทั่วโลก

HP : ฮิวเลตต์-แพคการ์ด บริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศรายใหญ่ของสหรัฐ แจ้งว่า บริษัทจะปรับลดพนักงานลงราว 7,000-9,000 ตำแหน่งทั่วโลกตามแผนปฏิรูปโครงสร้างในปีงบการเงิน 2563 ข้อมูลที่เอชพีได้ยื่นต่อคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์ฯ (SEC) ระบุว่า ณ วันที่ 31 ต.ค. 61 บริษัทมีพนักงานทั่วโลก 55,000 ตำแหน่ง โดยแผนดังกล่าวจะ ช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุนการดำเนินงานได้ 1,000 ล้านเหรียญ ภายในสิ้นปีงบการเงิน 65 เอชพีคาดว่า บริษัทจะกระตุ้นกระแสเงินสดหมุนเวียนได้อย่างน้อย 3,000 ล้านเหรียญในช่วงปีงบการเงิน 63 และจะสามารถเพิ่มการจ่ายเงินปันผลอีก 10% ตามแผนที่วางไว้

“แคร์รี ลัม” ยันรัฐบาลฮ่องกงรับมือไหว

นางแคร์รี ลัม ผู้อำนวยการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะรับมือกับสถานการณ์ที่ทวีความรุน แรงขึ้นในฮ่องกงโดยไม่ต้องให้จีนเข้ามาแทรกแซงได้ อย่างไรก็ดี นางลัมไม่ได้ปฏิเสธว่า รัฐบาลฮ่องกงต้องการความช่วยเหลือจากจีน หรือเรียกร้องให้มีการเดินหน้าใช้มาตรการฉุกเฉินต่อไป

นางลัม กล่าวกับผู้สื่อข่าวก่อนที่จะแถลงต่อสภาบริหารของฮ่องกงว่า เธอยังคงมั่นใจว่า จะสามารถหาทางออกให้กับปัญหาเหล่านี้ได้ และเชื่อว่า รัฐบาลฮ่องกงจะรับมือกับปัญหาได้ด้วยตนเอง แต่หากสถานการณ์เลวร้ายลง รัฐ บาลก็ไม่ปฏิเสธที่จะพิจารณาทางเลือกอื่นหากมีโอกาส นางลัม ยังได้ประณามการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มผู้ประท้วง หลังมีการทุบทำลายร้านค้า และทำให้ระบบการขนส่งกลายเป็นอัมพาตในการก่อความไม่สงบช่วง 4 เดือน ที่ผ่านมา แต่สามารถเปิดให้บริการได้แล้ว ขณะเดียวกันก็จะเสนอความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบด้วย

เหตุการณ์ ประท้วงในฮ่องกงทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นางลัม ได้ประกาศการห้ามสวมหน้ากากในกลุ่มผู้ประท้วง โดยมีการกำหนดโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี และปรับสูงสุด 25,000 ดอลลาร์ฮ่องกง แต่จะอนุญาตให้สวมหน้ากากได้หากมีเหตุผลทางศาสนา อาชีพ หรือทางการแพทย์ คำสั่งดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงได้ก่อเหตุจลาจลในคืนเดียวกัน ขณะที่รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งได้ยิงเด็กวัย 14 ปีคนหนึ่งบริเวณต้นขาขณะที่เจ้าหน้าที่ถูกผู้ชุมนุมล้อม

นักวิเคราะห์คาดเศรษฐกิจฮ่องกงหดตัว

นักวิเคราะห์หลายรายคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจฮ่องกงจะหดตัวลงในปีนี้ ทั้งนี้ภาวะหดตัวทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3  โดยได้รับผลกระทบจากเหตุประท้วงในฮ่องกงซึ่งกระทบต่อทั้งภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว และไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นตัวขึ้น นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ ยังมองว่า เศรษฐกิจฮ่องกงยังจะได้รับผลกระทบจากสง ครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ขณะที่นักท่องเที่ยวมีกำลังจ่ายลดลงโดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการชะลอตัวลงของ เศรษฐกิจโลกนอก เหนือจากนักวิเคราะห์แล้ว นายพอล ชาน รัฐมนตรีการคลังของฮ่องกง ยังได้ออกมาปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจฮ่องกงเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าเศรษฐกิจฮ่องกงจะขยายตัวเพียง 0 -1%  จากเดิมที่เคยคาดไว้ว่าจะโต 2-3% นักเศรษฐศาสตร์จากเจพีมอร์แกนเชส คาดว่าเศรษฐกิจฮ่องกงจะขยายตัวเพียง 0.3% ในปีนี้ หลังเหตุการณ์ความไม่สงบในฮ่องกงได้ส่งผลกระทบด้านลบต่อธุรกิจในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า โรงแรม และร้านอาหาร โดยธุรกิจเหล่านี้ต่างมีลูกค้าลดลงทั้งลูกค้าฮ่องกง และชาวต่างชาติ

WB มอง ศก.เอเชีย-แปซิฟิกโตลดลง

ธนาคารโลก (WB) ระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และแปซิฟิก ชะลอการเติบโตลงจากเดิมที่ 6.3% ในปี 61 มาเป็น 5.8% ในปี 62 จากนั้นคาดว่าจะเติบโต 5.7% และ 5.6% ในปี 63 และ 64 ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตด้านการส่งออกและกิจกรรมด้านการผลิตที่ลดลงเป็นวงกว้าง ธนาคารโลก ระบุด้วยว่า รายงาน East Asia and Pacific Economic Update ฉบับเดือน ต.ค.62 ภายใต้ชื่อ Weathering Growing Risks ตรวจพบว่าอุปสงค์ตลาดโลกที่อ่อนตัวลง รวมถึงอุปสงค์จากจีนที่ลดลงไปด้วย และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังมีความไม่แน่นอน ส่งผลให้การเติบโตด้านการส่งออก และการลงทุนลดลง นับเป็นบททด สอบสำคัญของความยืดหยุ่นในการรับมือด้านเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ 

“เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราการลดความยากจน ก็จะลดลงด้วย” นางวิคตอเรีย กวากวา รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคนี้กล่าว และว่า “เรายังคาดการณ์ด้วยว่าประชากรเกือบหนึ่งในสี่ของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออก และแปซิฟิกใช้ชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจนของประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงที่ 5.5 เหรียญสหรัฐต่อวัน คือ ประชากรราว 7 ล้านคนที่ได้คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งในเวลานั้นเศรษฐกิจของภูมิภาคโดยรวมยังคงเติบโตแข็งแรง” นางวคตอเรีย กล่าว

รายงานนี้ได้เตือนถึงความเสี่ยงด้านลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะรุนแรงเพ่ิมขึ้น  ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ยืดเยื้อจะส่งผลเสียต่อการเติบโตของการลงทุนต่อเนื่อง จากมีความไม่แน่นอนสูง และเศรษฐ กิจของจีนที่ลดการเติบโตลงเร็วกว่าที่คาดไว้ ปัญหาในภาคพื้นสหภาพยุโรป และสหรัฐ รวมถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเรื่อง Brexit ที่ยังไม่ลงตัว อาจส่งผลให้ความต้องการสินค้าส่งออกจากภูมิภาคนี้ลดลง