รองโฆษกพลังประชารัฐ ชี้รู้ทัน “ช่อ” ให้ข้อมูลเท็จ สร้างเงื่อนไขอภิปรายนอกสภา

  • ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง สร้างภาพเรียกร้องความเห็นใจ
  • ใช้ประชาชน-องค์กรต่างๆเป็นเครื่องมือ
  • หวังยกระดับสถานการณ์ลากการเมืองลงถนน หรือลี้ภัยทางการเมือง

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี กล่าวถึงกรณีที่น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ กล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตกองทุนพัฒนามาเลเซีย(1MDB)ว่า เป็น “การให้ข้อมูลเท็จ” สร้างการปลุกปั้นยุยงให้สังคมสับสน และอาจมุ่งทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทยอย่างชัดเจน

และตอนนี้ความเป็นส.ส.ของน.ส.พรรณิการ์สิ้นสุดลงไปพร้อมกับคำสั่งเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่เป็นเวลา 10 ปี  ดังนั้นจึงขาดเอกสิทธิ์คุ้มครองในการอภิปรายในสภาฯ แต่เมื่อน.ส.พรรณิการ์นำข้อมูลไปอภิปรายนอกสภาฯ ก็เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ แต่ต้องรับผิดชอบการอภิปรายของตนเอง หากไปละเมิดบุคคลหรือหน่วยงานใด น.ส.พรรณิการ์จะปฏิเสธความรับผิดชอบทางกฎหมายไม่ได้ ซึงสามารถถูกดำเนินคดีหมิ่นประมาททั้งทางแพ่งและอาญา

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า อยากฝากไปยังบรรดาอดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ อดีตส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ หรือส.ส.ของพรรคฝ่ายค้าน ที่จะนำข้อมูลไปอภิปรายนอกสภาฯ จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติเกี่ยวกับเอกสิทธิ์ของส.ส.เอาไว้ใน มาตรา 124 กำหนดว่าในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมวุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคําใดในทางแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็นหรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็น เอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนําไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใดๆ มิได้

เอกสิทธิ์ตามวรรคหนึ่งไม่คุ้มครองสมาชิกผู้กล่าวถ้อยคําในการประชุมที่มีการถ่ายทอดทาง วิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์หรือทางอื่นใด หากถ้อยคําที่ กล่าวในที่ประชุมไปปรากฏนอกบริเวณรัฐสภา และการกล่าวถ้อยคํานั้นมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาหรือละเมิดสิทธิในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้น

“ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความผิดพลาดอีกครั้งของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่เป็นอาจารย์นักกฎหมาย แต่กลับปล่อยให้น.ส.พรรณิการ์ออกมาเล่นเกมเสี่ยง  ให้ข้อมูลเท็จสร้างความสับสนให้กับสังคม โดยไม่มีเกราะคุ้มกันเช่นนี้ ในเวทีที่ไม่ใช่รัฐสภา โดยลืมไปว่า พ้นสภาพจากส.ส.แล้ว ก็ขาดจากเอกสิทธิ์ไปโดยอัตโนมัติ หรือ “เป็นความตั้งใจที่จะสร้างเงื่อนไขทางการเมืองให้เกิดขึ้น” รู้ทั้งรู้แต่ก็ปล่อยให้ทำ อาจเพื่อเรียกร้องให้เกิดความเห็นใจหากมีการดำเนินคดีกับน.ส.พรรณิการ์ สร้างภาพว่าถูกกลั่นแกล้ง ใช้ประชาชนและองค์กรต่างๆที่หลงกลเป็นเครื่องมือทางการเมือง หวังยกระดับสถานการณ์ความขัดแย้งไปสู่การเมืองบนท้องถนน และอาจขอลี้ภัยทางการเมืองใช่หรือไม่”น.ส.ทิพานัน กล่าว

รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ยังกล่าวอีกว่า ต้องชื่นชมพรรคอนาคตใหม่ในห้วงเวลาที่ไร้แกนเช่นนี้ หลายท่านมีวุฒิภาวะสมกับเป็นผู้แทนราษฎร และอยากขอให้อีกหลายท่านตั้งสติเคารพกฎหมาย และมีวุฒิภาวะมากขึ้น ทุกการกระทำที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลมาจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ไม่มีใครกลั่นแกล้ง และขอร้องหยุดทำร้ายประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หรือหวังเอาชนะเพียงระยะสั้นแต่จะส่งผลกระทบต่อความสงบสุขและภาพรวมของประเทศในระยะยาว