ยำใหญ่ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศที่น่าสนใจ EP.1

เก็บสถิติ “ทรัมป์” ทวีตข้อความแต่ละครั้งกระทบดัชนีการลงทุนในตลาดหุ้นท่ัวโลก ขณะที่การเจรจาการค้ายังชะคะเย่อกันต่อไประหว่างสหรัฐ-จีน ส่วนดอกเบี้ยจะลดหรือไม่รอ FED กลางเดือนนี้

.FED ชี้ศก.สหรัฐขยายตัวปานกลาง

ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจใน 8 เขตจากทั้งหมด 12 เขตที่ได้ทำสำรวจพบมีการขยายตัวเล็กน้อยจนถึงปานกลาง จากภาคธุรกิจส่วนใหญ่ที่ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะใกล้ และเชื่อว่าเศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวต่อ แม้จะมีความกังวลในนโยบายการค้า และภาษีศุลกากรก็ตาม ทั้งนี้ภาคการผลิตส่วนใหญ่ยังคงมีการขยายตัว แม้จะช้าลงบ้าง เช่น ในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ และพลังงาน ขณะที่ค่าจ้างปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และกระจายตัวในเกือบทุกภาค ส่วนภาคการเกษตรยังคงอ่อนแอ สภาพอา กาศที่เลวร้าย และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตกต่ำ รายงานมีขึ้นก่อนคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้

.ฝรั่งเศสปรับ “อเมซอน” อ่วม 4.4 ล้านเหรียญ

ศาลฝรั่งเศส ได้สั่งปรับบริษัทอเมซอนยักษ์ใหญ่ค้าปลีกของสหรัฐสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 4.4 ล้านเหรียญเหตุจากอเมซอนกำหนดเงื่อนไขที่ “ไม่เหมาะสม” สำหรับผู้ค้าออนไลน์ เพื่อที่จะขายสินค้าของพวกเขา ศาลพบว่า เงื่อน ไขที่มีการโต้แย้งนั้น “ไม่สมดุลอย่างชัดเจน” และ ได้สั่งให้อเมซอนทำการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเหล่านั้นภายใน 6 เดือนคำพิพากษาระบุว่า อเมซอนจะถูกปรับเพิ่มอีก 11,000 เหรียญต่อวัน หากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขดังกล่าว

กระทรวงการคลังฝรั่งเศสได้ยื่นฟ้องอเมซอนในปี 2560 หลังสอบสวนมา 2 ปีจนพบว่ามีการกำหนดเงื่อนไขหลายข้อที่ไม่เป็นธรรมต่อบริษัทฝรั่งเศสขนาดกลางและขนาดย่อถึง 10,000 แห่งที่ทำธุรกิจในเว็บไซต์ของอเมซอน แม้จะมีข้อได้เปรียบสำหรับผู้ค้าที่ใช้เว็บไซต์ของอเมซอน แต่ “ดุลอำนาจที่ไม่สมดุล” จะต้องไม่บังคับให้บริษัทต่างๆ ยอม รับเงื่อนไขการใช้งานที่ไม่เป็นธรรม ค่าปรับนี้สูงเป็นประวัติการณ์สำหรับเงื่อนไขการค้าที่ไม่เหมาะสม

.”แคร์รี ลัม” ยันการถอนร่างกม.ส่งตัว

แคร์รี ลัม

นางแคร์รี ลัม ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง แถลงยืนยันว่าการถอนร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน จะไม่มีการลงมติหรืออภิปรายเพ่ือขจัดความกังวลที่ว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติฝั่งรัฐบาลจะวีโต้ นางลัมให้คำมั่นว่าจะจัดการเจรจาร่วมกันโดยตรง เพื่อให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็น และความไม่พอใจต่อรัฐบาลได้ โดยเธอ กล่าวถึง 4 มาตรการทจะทำให้ฮ่องกงเดินหน้าต่อไปโดยมุ่งเน้นประเด็นเศรษฐกิจและสังคมของฮ่องกง และให้ประชา ชนเข้ามามีส่วนร่วมตัดสินใจทางการเมือง โดยกล่าวว่า เธอจะเชิญนักวิชาการ และผู้นำชุมชนเข้าร่วมการปรึกษาหารือพร้อมแสดงความเสียใจที่เธอกลายเป็นต้นเหุทำให้ฮ่องกงต้องกลายสภาพเป็นไปเช่นนี้

.ทวีต“ทรัมป์”ทำ“หุ้น”ติดลบ

แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ รายงานผลกระทบที่เกิดกับตลาดหุ้น จากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขยันทวีตข้อความลงบนทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า “นับแต่ปี 2559 วันใดก็ตามที่ปธน.ทรัมป์ทวีตมากกว่า 35 ข้อความ (90 เปอร์เซ็นต์ไทล์) ตลาดหุ้นจะมีผลตอบแทนเป็นลบ แต่ในวันที่ปธน.ทรัมป์ทวีตน้อยกว่า 5 ข้อความ (10 เปอร์เซ็นต์ไทล์) ผลตอบ แทนจะเป็นบวก ซึ่งค่าทางสถิติถือว่า มีนัยสำคัญ” และว่า “การทวีตของปธน.ทรัมป์ นับตั้งแต่เรื่องของจีน,นโย บายเฟด และนโยบายภาษี ได้ส่งผลให้ตลาดเกิดความผันผวนโดยเฉพาะการประกาศเก็บภาษีครั้งใหม่ในเดือนที่แล้วได้สร้างความเสี่ยงต่อการคาดการณ์กำไรต่อหุ้นในปีนี้ที่ระดับ+2%/+7% 

รวมถึงส่งผลกระทบทางอ้อมอย่างมีนัยสำคัญต่อความ เชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภค” รายงานระบุ แต่แม้ว่าการทวีตของปธน.ทรัมป์เกี่ยวกับการทำสงครามการค้ากับจีน หรือธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น แต่ดัชนีดาวโจนส์ได้ทะยานขึ้น 42% นับตั้งแต่ที่ปธน.ทรัมป์ชนะเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2559 และพุ่งขึ้น 31% นับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค.2560

.จีน-สหรัฐเจรจาการค้ารอบใหม่

หัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาการค้าของจีนและสหรัฐ ได้เห็นพ้องร่วมกันว่าจะจัดการประชุมเพื่อหารือด้านเศรษฐ กิจและการค้าใน ระดับสูงครั้งที่ 13 ช่วงต้นเดือนต.ค.นี้ ที่กรุงวอชิงตัน หลังจากการหารือกันระหว่างนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน พร้อมด้วยนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ และนายสตีเวน มูนชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ  เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเจรจาในระดับสูง โดยมีเป้าหมายที่จะให้การเจรจามีความคืบหน้าด้วยดี

.“ทรัมป์” คุม “สื่อกับดาวโจนส์” ไม่ได้

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ กล่าวว่า แม้สงครามการค้ากับจีนจะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงต่อเนื่อง แต่ที่เป็นเช่นนี้เพราะจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับแนวทางปฏิบัติทางเศรษฐกิจของจีน นายทรัมป์กล่าวว่า “ผมจะบอกคุณให้ ถ้าผมไม่ทำอะไรกับจีนเลย ตลาดหุ้นของเราคงพุ่งขึ้นไปแล้วกว่าหมื่นจุดจากที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่มีความจำเป็นที่เราต้องทำเช่นนี้ เรื่องนี้เป็นอะไรที่อยู่เหนือการควบคุมรวมทั้งพวกเขาด้วยที่คุมไม่ได้เหมือนกัน” และว่า”แล้วเราจะได้เห็นกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากพวกเขายอมกลับมาเจรจาการค้ากับเรา พวกเขาก็จะต้องยอมรับข้อเสนอของเราให้ได้ หรือถ้าพวกเขาจะไม่ยอม ก็ไม่เป็นอะไร”

. “จิมมี ไล” เจ้าพ่อสื่อฮ่องกงถูกมือดีปาระเบิด

เกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดเพลิงใส่บ้าน นายจิมมี ไล นักธุรกิจและเจ้าพ่อวงการสื่อผู้โด่งดังในฮ่องกง แต่ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว สถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวีของฮ่องกงรายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 01.00 น. ของวันพฤหัสบดีโดยผู้ต้องสงสัยขว้างปาวัตถุบางอย่างใส่ประตูบ้านของนายไล ก่อนที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวจะเข้าไปสำรวจ และพบว่าเป็นระเบิดเพลิง จึงได้ทำการดับไฟแล้วแจ้งตำ รวจให้เข้ามาตรวจสอบ ด้านตำรวจฮ่องกงได้ออกแถลงว่า ได้รับรายงานว่าเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นที่สถานที่แห่งหนึ่งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งระบุว่า มีผู้ต้องสงสัยขว้างปาวัตถุซึ่งเชื่อว่าเป็นระเบิดที่ทำมาจากน้ำมันเบนซินเข้ามา ก่อนจะขี่รถมอเตอร์ไซด์หลบหนีไป กระนั้นตำรวจไม่ได้ชี้ชัดถึงสถานที่เกิดเหตุแต่อย่างใด 

จิมมี ไล

ทั้งนี้ นายจิมมี ไล ซึ่งเป็นนักธุรกิจและเจ้าของหนังสือพิมพ์ Apple Daily เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกหมายหัวจากทาง การจีนว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ประท้วง ในฮ่องกงที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน โดยเขาเคยออกมาปรากฏตัวร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมหลายครั้ง อีกทั้งยังได้ส่งช่างภาพออกมาอยู่แถวหน้าแนวปะทะระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเผยแพร่ภาพเหตุการณ์ออกไปทั่วโลก

.“หัวเว่ย” ถือสัญญา 5G ในมือล้น

หัวเว่ย เทคโนโลยี่ เปิดเผยว่า บริษัทมีสัญญาบริการในเชิงพาณิชย์กัลลริษัทค่างๆสำหรับระบบ 5G อยู่ในมือมากกว่า 50 สัญญา แม้ต้องเผชิญความท้าทายจากการถูกบล็อคในตลาดสำคัญ ๆ รวมถึงแรงกดดันจากสหรัฐมาอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขนี้ เป็นข้อมูลล่าสุดที่หัวเว่ยเผยแพร่ต่อสาธารณะนั้น ส่งผลให้หัวเว่ยกลายมาเป็นอันดับ 1 ในแง่ของการถือครองสัญญาให้บริการ 5G แซงหน้าคู่แข่งอย่าง โนเกีย และอีริคสัน ซึ่งจากข้อมูลพบว่ามีสัญญาให้บริการ 5G กับผู้ให้บริการเครือข่ายในประเทศต่างๆอยู่ 45 และ 25 สัญญาตามลำดับ

ทั้งนี้ หัวเว่ยกำลังเผชิญกับแรงกดดันหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ประกาศภาวะ ฉุกเฉินแห่งชาติเพื่อห้ามบริษัทของสหรัฐจากการใช้เทคโนโลยีและ บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของบริษัทที่สหรัฐเชื่อว่า เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้เอ่ยชื่อหัวเว่ยออกมาตรง ๆ แต่ก็เป็นที่รู้ดีกันว่าการดำเนินการดังกล่าวพุ่งเป้ามายังหัวเว่ยอย่างชัดเจน จนทำให้สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคง (BIS) ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ขึ้นบัญชีดำหัวเว่ย และบริษัทในเครืออีก 70 แห่งไว้ใน “Entity List” ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อบริษัทด้านสื่อสารโทรคมนาคมที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้บริษัทสหรัฐเข้าซื้ออุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล