ม.หอการค้าไทยลดคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้เหลือโต 3.1%

  • หลังสารพัดปัจจัยเสี่ยงยังรุมเร้าอย่างต่อเนื่อง
  • ทั้งราคาน้ำมัน-สินค้าโภคภัณฑ์-เงินเฟ้อโลกพุ่งไม่หยุด
  • แนะรัฐพยุงเศรษฐกิจ-ดูแลราคาพลังงานไม่ให้สูงเกิน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ และธุรกิจเปิดเผยถึงการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 65 ว่า ศูนย์ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 65 ลงเหลือ 3.1% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 4.2% เมื่อเดือนพ.ย. 64 ซึ่งมาจากผลกระทบด้านราคาพลังงานโลก ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญ ส่วนการส่งออกปีนี้ ปรับเพิ่มเป็นขยายตัว 6.3% จากเดิมที่ 5.4% อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปรับเพิ่มเป็น 6.0% จากเดิมที่ 1.5%

โดยการปรับลดประมาณการดังกล่าว อยู่ภายใต้ภายใต้สมมุติฐานที่เศรษฐกิจโลกปีนี้ ขยายตัว 2.9% ปริมาณการค้าโลกลดลงมาอยู่ที่ 4% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย  6.1 ล้านคน ค่าเงินบาท 34.25 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯราคาน้ำมันดิบดูไบ 110 เหรียญฯต่อบาร์เบล ดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี อยู่ที่ 0.50-1.00% แต่หากราคาพลังงานพุ่งสูงถึง 120-130 เหรียญฯต่อบาร์เรล จะส่งผลให้จีดีพีไทยปีนี้เหลือขยายตัว 2.3% ได้

สาเหตุที่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ เพราะยังมีปัจจัยลบต่อเนื่อง ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาพลังงานสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อของโลกสูงขึ้น, โควิด-19 ที่ยังคงยืดเยื้อมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ, ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย, ขาดแคลนสินค้าในห่วงโซ่การผลิต มีผลต่อการส่งออกของไทย และเศรษฐกิจจีนยังคงไม่แน่นอน และมีโอกาสลดลงหลังการใช้มาตรการ Zero COVID สกัดการระบาด รวมถึงความไม่แน่นอนของความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน ที่อาจมีผลต่อการค้าโลกอีกครั้ง

“การปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลทุก 1 บาท/ลิตร มีผลทำให้จีดีพีไทยลดลง 0.2% และการขึ้นราคาเบนซินทุก 1 บาท/ลิตรมีทำให้จีดีพีลดลง 0.1% หากขึ้นราคาทั้งดีเซลและเบนซินรวมกันจะทำให้จีดีพีลดลง  0.3% ต่อปี โดยเศรษฐกิจโลกโดนผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพงมาตั้งแต่เดือนม.ค.65 ที่ราคาขึ้นมาประมาณ 10 บาท/ลิตร ทำให้เราต้องย่อเศรษฐกิจลงทันทีประมาณ 1% เหลือ 3.1% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 4.2%”

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากที่มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 และเริ่มกลับมาเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย ทำให้คาดว่า ช่วงครึ่งปีหลังจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยราว 5 ล้านคน ส่วนการอนุญาตให้เปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ จะมีส่วนช่วยทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ราว 200,000-300,000 ล้านบาท ประกอบกับ มูลค่าการส่งออกปีนี้ที่คาดจะเติบโติได้ราว 6-7% เพราะได้รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า คาดว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราว 3.8% จากในช่วงครึ่งปีแรก ที่เติบโตได้ราว 2.3%

“ทำให้ทั้งปีนี้ ศูนย์จึงประเมินเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.1% โดยให้กรอบไว้ในช่วง 2.9-3.5% ส่วนปัจจัย ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยังมาจากการส่งออก การท่องเที่ยว และการเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐจะต้องทำต่อเนื่องเพื่อพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว คือ การดูแลราคาพลังงานไม่ให้ปรับขึ้นเร็วจนส่งผลต่อจิตวิทยา, ดูแลต้นทุนการผลิต รวมถึงปริมาณวัตถุดิบไม่ให้ขาดแคลนและราคาสูงจนเกินไป เช่น ปุ๋ยเคมี อีกทั้งยังต้องปรับเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอี เพื่อให้เกิดความคล่องตัวทางการเงิน สามารถประคองธุรกิจไปได้ และเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ผู้ประกอบการ”