มองเศรษฐกิจไปกับ “เศรษฐา ทวีสิน” วัคซีนคือคำตอบ ทางรอดวิกฤตโควิดไทย

มองเศรษฐกิจไปกับ “เศรษฐา ทวีสิน” วัคซีนคือคำตอบ ทางรอดวิกฤตโควิดไทย สถานการณ์กลับเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลที่ผิดพลาด ทำให้มีผู้คนเสียชีวิตมากถึงวันละ ‪200 – 300‬ คน มีคนไทยมากกว่า 1 ล้านคนติดเชื้อสะสม และเดือนสิงหาคมไทยติดเชื้อไวรัสหนักที่สุดเฉลี่ยวันละ 20,000 คน

“เศรษฐา ทวีสิน” ถือเป็นนักธรุกิจระดับแนวหน้าของไทยที่มาจากตระกูลเก่าแก่ที่ออกมาแสดงสิทธิของตนเองผ่านการ Call out ถึงรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลายครั้ง ในฐานะ CEO ของ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) กลุ่มธุรกิจอสังหา ริมทรัพย์ที่ ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่แพ้ภาคธุรกิจในสาขาอื่นๆ ของประเทศ

โดยการ Call out นั้นก็เพื่อส่งสัญญาณให้รัฐบาลรับรู้ถึงวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมว่ากำลังดำดิ่งสู่ห้วงเหวลึก

แต่กลับส่งผลให้เขากลายเป็นเป้านิ่งในตำบลกระสุนตกของการต่อสู่กันระหว่างระบบการเมืองไทยทั้งในเวที และนอกเวที ทั้งยังถูกปั่นให้เป็นกระแสว่า เขาจะเป็นผู้ชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทยคนต่อไป!

“เศรษฐา” กล่าวปฎิเสธเรื่องนี้ว่า เขาไม่ได้ต้องการให้ตนเอง Popular ไม่ได้ต้องการจะเข้าไปเล่นการเมือง หรือต้องการใส่แว่นตาหนาๆอ่านข้อความยาวๆ บนกระดาษให้คนทั้งประเทศฟังติดต่อกันยาว 4 – 5 ชั่วโมง เขาพูดเพื่อให้คนตัวใหญ่ๆในบ้านเมือง และนักธุรกิจที่มีเงินมากๆ หันไปให้ความช่วยเหลือคนที่ตกงาน คนระดับล่างที่ไม่มีรายได้

“ผมต้องการบอกกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤตโควิด ผมทั้งเขียน และให้สัมภาษณ์ไปหลายครั้งว่า วัคซีน คือ ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้ประเทศไทยอยู่รอด และคนไทยกลับมาทำมาค้าขายกันได้”

แต่วันนี้สถานการณ์กลับเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลที่ผิดพลาด ทำให้มีผู้คนเสียชีวิตมากถึงวันละ ‪200 – 300‬ คน มีคนไทยมากกว่า 1 ล้านคนติดเชื้อสะสม และเดือนสิงหาคมไทยติดเชื้อไวรัสหนักที่สุดเฉลี่ยวันละ 20,000 คน

“เขาคงไม่คิดว่าจะมีวันนี้ ถึงอยากแก้ไขความผิดพลาด ด้วยการกลับลำให้ภาคเอกชนช่วยจัดหาวัคซีนเข้ามา แต่ถ้าไม่ออกกฏหมายนิรโทษกรรมจากสิ่งที่ทำกันไว้เดิม การจัดหาวัคซีนก็จะเกิดอุปสรรค เพราะเท่ากับเป็นการเปิดแผลเขา.. ผมก็คิดอย่างคนธรรมดา ง่ายๆคือต้องอภัยโทษให้เขา เพราะธรรมดาคนโกงก็ต้องตกนรกตายอยู่แล้ว จริงไหม?!”

ส่วนเรื่องการจัดหาวัคซีน ถ้ารัฐบาลใช้วิธีการทางการทูตร่วมกับการจัดหาวัคซีน ด้วยการเจรจาต่อรองกับ จีน และสหรัฐอเมริกา ในการเสนอผลประโยชน์ด้านการลงทุนในโครงการต่างๆ ในไทยให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับวัคซีนซึ่งต้องส่งเข้าให้ประเทศไทยเร็วที่สุด ก็ไม่น่าจะมีปัญหา

แต่ก็น่าเสียดายที่นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยยังนิ่งเฉยกับเรื่องนี้…

เมื่อถามถึงการขยายตัวของจีดีพีไทยที่ถูกหลายสำนักทำนายว่า น่าจะขยายตัวได้ 0.7 – 1.2% ขณะที่บางสำนักออกบทวิเคราะห์ว่า ถ้ายังติดกับดักโควิดโดยไม่เปิดประเทศ จีดีพีปีนี้อาจติดลบ หรือขยายตัวต่ำกว่า 0%

เศรษฐา ตอบว่า เขาไม่ได้มองว่าตัวเลขนี้สำคัญ เพราะเป็นการมองปัจจุบัน จากการต้องปิดไซด์งานก่อสร้างเพราะคำสั่งล็อคดาวน์ แต่ถ้ามองไปในอนาคต สิ่งที่สำคัญมากกว่าจีดีพีคือ วัคซีน

“วัคซีนที่พูดๆ กัน จะมาจริงหรือไม่ มาเมื่อไหร่ และทันต่อเป้าหมายการเปิดประเทศหรือไม่ ถ้าจะขยายการเปิดประเทศจาก 120 วันเป็น 160 วัน เพื่อรอให้วัคซีนเข้ามาในประเทศได้มากที่สุด ก็ต้องไปนับจีดีพีกันในปีหน้า 2565…

ฐานที่ต่ำมากในปี ‪2563-2564‬ อาจจะทำให้จีดีพีในปีหน้า กระเด้งขึ้นเป็นบวก 5 หรือ บวกแปดก็ได้ เพราะเราไม่ได้วาดหวังกันไว้แค่ปีนี้ แต่เราต้องอยู่กันในปีต่อๆไปในระยะยาว เพียงแต่ขอให้ประเทศ และคนไทยเรามีอนาคตที่ดีในวันข้างหน้าเท่านั้น”

  • การสร้างความหวังท่ามกลางวิกฤต

นายเศรษฐา กล่าวว่า การสร้าง HOPE หรือ ความหวังให้กับประชาชนคนไทยแบบที่หลายประเทศทำกัน โดยผมคาดหวังว่า รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจอย่าง นายสุพัฒน์พงศ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.กระทรวงพลังงาน จะออกมาสร้างความหวังให้กับคนในประเทศด้วยการประกาศว่า รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หรือใหญ่ที่สุดในประวัติ ศาสตร์ด้วยมาตรการใดบ้าง ภายในระยะเวลาเท่าใด เช่น เริ่มจากวันนี้ไปอีก 6 เดือนข้างหน้า

“นี่คือสี่งที่จะทำให้สภาพจิตใจของประชาชนดีขึ้น มีความหวังว่าอีกไม่กี่เดือนพวกเขาจะกลับมาทำมาหากินกันได้ตามปกติ เพื่อให้ทุกฝ่ายวางโรดแมปของตัวเอง”

โดยสิ่งสำคัญหลังเปิดประเทศ รัฐบาลต้องดูว่า การบินไทย กับ สายการบิน อื่นๆในประเทศพร้อมจะรับขนส่งคนเข้า-ออกในประเทศและต่างประเทศเพียงใด

“เทศกาลโชว์ช้าง และอื่นๆจะยังมีอยู่เหมือนเดิมไหม ฟู้ดสตรีทจะมีใครเหลืออยู่บ้าง หรือ คิง เพาเวอร์ ยังกลับมาเปิดที่ภูเก็ตได้อีกไหม ถึงเวลานี้ รัฐบาลควรจะต้องตรวจสอบแล้วว่า แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ยังคงมีความสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้มากน้อยเพียงใด”

นอกจากนี้รัฐบาลจะต้องเร่งฉีดวัคซีนให้แก่คนไทยให้ได้เต็มที่ หรือมากกว่าวัน 500,000 คน เป็น 1 ล้านคน

“ที่อเมริกาฯ เขามีวัคซีนสำรองไว้ 3.8 เท่าของประชากรสหรัฐ ถ้าเป็นประเทศไทย เรามีประชากร 70 ล้านคน เราควรมีวัคซีนไว้เผื่อสัก 200 ล้านโดส รวมเข็ม 3 ที่ต้องฉีดกระตุ้นภูมิด้วย ถ้าจะนับเป็นตัวเงิน สมมุติโดสละ 1,000 บาท ก็เท่ากับ 200,000 ล้านบาท เท่ากับ 6.7% ของงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 ล้านล้านบาท และนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมเห็นด้วยกับการกู้เงินอีก 1 ล้านล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ”

เศรษฐา ตอกย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาล และหน่วยราชการควรจะเลิกยกเอาเพดานหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ประมาณ 60% ของจีดีพี มาเป็นข้ออ้างที่ไม่ยอมกู้เงินก้อนใหญ่ๆเข้ามาอัดฉีดเศรษฐกิจได้แล้ว

” สมมุติว่า กู้มาวันนี้มีดอกเบี้ย 2% อีก 50 หรือ 100 ปี ดอกเบี้ยขึ้นไปเป็น 3% แต่การจีดีพีขยายตัวไป 7% หนี้สินที่มีแทบไม่ต้องใช้ เพราะเศรษฐกิจขยายตัวไปเกินแล้ว”

  • เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแบบ K เชฟ

อีกประเด็นที่รัฐบาลควรดูแลอย่างใกล้ชิดก็คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลกในปีนี้ จะมีลักษณะเป็น K เชฟ ไม่ใช่ V เชฟ อย่างที่ประเมินกันเบื้องต้น ลักษณะของ K เชฟ คือ ขาบนของตัว K คือ กลุ่มคนรวย ซึ่งไม่ต้องไปห่วง เพราะคนรวย ยังคงรวยมากขึ้น แต่ ขาล่างของตัว K คือ คนจนซึ่งมีมากขึ้นดูได้จากสถิติที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดเก็บไว้

ถ้ารัฐบาล หรือธนาคารแห่งประเทศไทยจะใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเครื่องมือ ก็คงจะช่วยคนระดับล่างได้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งต้องเข้าไปอุดหนุนสินค้าเกษตรให้เขาสามารถผลิตสินค้าได้ รวมถึงเข้าไปช่วยเหลือคนที่ภูมิลำเนาเพราะที่กรุงเทพฯไม่มีงานให้ทำด้วย

เศรษฐา กล่าวในตอนท้ายว่า “ผมเชื่อว่า จากนี้ไปอีก 6 เดือนข้างหน้า ถ้าเราช่วยกัน จะสามารถวิ่งตามประเทศอื่นที่เขาออกวิ่งไปก่อนเราได้ทัน แค่ขอให้เราออกวิ่งได้จริงๆ เท่านั้น ก็สามารถจะวิ่งตามทันแน่ เพราะมันคือการวิ่งมาราธอน”