พาณิชย์จับมือเกษตรหนุนเกษตรกรขายผลผลิตออนไลน์

.นำร่อง 40 กลุ่มสหกรณ์การเกษตรจาก 25 จังหวัด

.ดันขายใน Thaitrade.com และ Phenixbox.com

.รองรับตลาดทั้งในและต่างประเทศดีเดย์เดือนมิ.ย.นี้

นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการสร้างแพลตฟอร์มกลาง “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ร่วมกับนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ว่า ที่ประชุมเห็นตรงกันว่าไม่จำเป็นต้องจัดทำแพลตฟอร์มกลางขึ้นมาใหม่ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการขายผลผลิต ทั้งในและต่างประเทศ เพราะปัจจุบัน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนดำเนินการแพลตฟอร์มแบบ B2B (Business-to-Business) และ B2C (Business-to-Consumer) อย่างแพร่หลาย สามารถใช้ผลักดันให้เกษตรกรเข้าไปจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางเหล่านั้นได้อยู่แล้ว  

ดังนั้น ในการซื้อขายผลผลิตของเกษตรกรแบบ B2B กรมจะพัฒนาต่อยอดแพลตฟอร์มที่มีอยู่ คือ Thaitrade.com (ตลาดค้าส่งระดับโลกของไทย) ที่รองรับผู้ซื้อต่างประเทศ และ Phenixbox.com (ศูนย์ค้าส่งครบวงจรของเอกชน) ที่รองรับผู้ซื้อในประเทศ โดยจะสร้างหน้าสินค้าเกษตรเฉพาะ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เพื่อทดสอบว่าการขายสินค้าเกษตรประสบผลสำเร็จหรือไม่ อย่างไร ซึ่งจะมีกลุ่มเกษตรกรนำร่องกลุ่มแรก ได้แก่ กลุ่มสหกรณ์ที่มีศักยภาพและมีความพร้อม 40 ราย จาก 25 จังหวัด ครอบคลุม 4 ภูมิภาค ประกอบด้วยสินค้าที่หลากหลาก เช่น ข้าว ไข่ไก่ เนื้อโคขุน น้ำนม ผัก ผลไม้ กาแฟ และสินค้าแปรรูปจากยางพารา โดยจะเริ่มซื้อขายได้ประมาณเดือนมิ.ย.64  

“ในแพลตฟอร์มกลาง ที่เราจะต่อยอดให้กับเกษตรกร จะมีข้อมูลความต้องการซื้อสินค้าเกษตร ที่ผู้ซื้อต้องการซื้อแต่ละครั้งในปริมาณมาก ต้องการสินค้าเพื่อไปเป็นวัตถุดิบผลิตอาหาร หรืองานบริการ เช่น สมาคมการค้าต่างๆ โรงแรม ร้านอาหาร โรงงาน รวมถึงผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ และกำหนดให้สามารถซื้อ-ขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (พรี-ออร์เดอร์) เพื่อให้ผู้ขาย และผู้ซื้อสามารถเจรจาซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าได้ ซึ่งจะต้องมีการกำหนดคุณลักษณะ หมวดหมู่สินค้า และมาตรฐานสินค้าที่ต้องการต่อไป”  

ส่วนการซื้อขายแบบ B2C เกษตรกรที่มีความพร้อมในการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ในลักษณะขายปลีก สามารถเลือกใช้บริการได้หลายแพลตฟอร์ม ซึ่งกรมได้ดำเนินการส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการสินค้าเกษตรในการเพิ่มช่องทางการค้าออนไลน์อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว นอกจากนี้ กรมยังมีแผนจะจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจออนไลน์ จากคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสขยายตลาดให้เกษตรกรไทยด้วย  

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (เอ็ดดา) พบว่า ปี 62 ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ของไทยมีมูลค่าสูงถึง 3.767 ล้านล้านบาท โดยธุรกิจประเภท B2C ไทยเติบโตครองแชมป์อันดับ 1 ในอาเซียน ซึ่และยังครองแชมป์ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ที่สร้างมูลค่าได้สูงสุดถึง 6 ปีซ้อน