“พฤกษา” จับมือ “อินทรีคอนกรีต” เตรียมพร้อมการผลิตพรีคาสท์ เน้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  • เป็นการเพิ่มขีดความสามารถ และเตรียมความพร้อมสำหรับวัตถุดิบ
  • เผยกลุ่มพฤกษาเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯรายแรก ที่นำเข้าเทคโนโลยีคาร์บอนเคียว มาใช้ผลิตพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ
  • ลั่นทั้ง 2 บริษัทฯ มีการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30% ภายในปี 73

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายพรเทพ ศุภธราธาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด ได้ลงนามในสัญญาการซื้อขายคอนกรีตผสมเสร็จ จำนวน 2,600,000 ลูกบาศก์เมตร ร่วมกับนายเอเดน จอห์น ไลนัม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) และนายเครก สจ๊วต บิ๊กคลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นครหลวงคอนกรีต จำกัด ผู้ผลิตคอนกรีตผสมเสร็จคุณภาพสูง ภายใต้แบรนด์ “อินทรีคอนกรีต” ในเครือกลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง

ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถ และเตรียมความพร้อมสำหรับวัตถุดิบในการผลิตแผ่นพรีคาสท์ หรือแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป ให้กับโรงงานพฤกษาพรีคาสท์ นวนคร – ลำลูกกา และโครงการแนวราบ รวมตลอดถึงโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ณ อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อก กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ กลุ่มพฤกษาเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรก ที่นำเข้าเทคโนโลยีสีเขียว “คาร์บอนเคียว” (CarbonCure) มาใช้ผลิตแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ (Low Carbon Precast) และกลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง เป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ และคอนกรีตผสมเสร็จ ที่มีนโยบายการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยปูนซีเมนต์อินทรีเพชร Easy Flow (ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก) ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของการผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์และฉลากลดโลกร้อน จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก องค์กรมหาชน (Thailand Greenhouse Gas Management Organization) จึงทำให้สามารถนำไปคำนวณเรตติ้งสำหรับการจัดอันดับอาคารสีเขียวทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับการลงนามสัญญาครั้งนี้ จึงถือเป็นส่วนสำคัญที่ส่งเสริมเรื่องการลดคาร์บอนฟุตปริ้นท์ของทั้ง 2 บริษัท ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าผู้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างด้วย Low Carbon Precast จะได้บ้านที่มีคุณภาพแข็งแรง และยังนับว่ามีส่วนช่วยในการลดการสร้างมลภาวะต่อโลกด้วย โดยทั้ง 2 บริษัทฯ มีการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30% ภายในปี 2573 พร้อมมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 อันเป็นไปตามเป้าปณิธานของไทย และนานาประเทศ