ผวาโควิดโอไมครอนชนะวัคซีน ดาวโจนส์ร่วงกว่า 250 จุด

.นักลงทุนเทขายหุ้นอีกครั้งหลังซีอีโอโมเดอร์นาเตือนวัคซีนที่มีอยู่สู้โอไมครอนได้ยาก
.หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิร่วง หุ้นเทคโนโลยีดีดสวนตลาด
.เฟด รับกังวลโควิดโอไมครอนสร้างความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 34,885.87 จุด
ลดลง 250.07 จุด หรือ -0.71% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 15,802.39 จุด เพิ่มขึ้น 19.55 จุด หรือ +0.12%
ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,637.00 จุด ลดลง 18.27 จุด หรือ -0.39%

นักลงทุนเทขายหุ้นอีกครั้ง หลังกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน เนื่องจากซีอีโอโมเดอร์นาออกมาเตือนว่า วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ส่งผลหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มสายการบิน และกลุ่มธุรกิจเรือสำราญ ต่างร่วงลง ขณะที่มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งได้รับผลดีจากการทำงานที่บ้าน

นายสเตฟาน บันเซล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทโมเดอร์นา อิงค์ ระบุว่า วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน พร้อมกับเตือนว่า บรรดาบริษัทเวชภัณฑ์อาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนจึงจะสามารถผลิตวัคซีนสูตรใหม่ที่จะป้องกันไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้อย่างเพียงพอ

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)กังวลผลกระทบจากโอไมครอนเช่นกัน โดยสำนักข่าวหลายแห่งได้ทำการเผยแพร่ล่วงหน้าสำหรับร่างแถลงการณ์ที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เตรียมกล่าวต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้ เวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 22.00 น.ตามเวลาไทย ก่อนที่จะกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันพรุ่งนี้

ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่า นายพาวเวลคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 5% ในปีนี้ แต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนได้สร้างความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยจะกระทบต่อการจ้างงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่สหรัฐจะเผชิญภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงเป็นระยะเวลานานกว่าที่คาดไว้

“เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์สถานการณ์เงินเฟ้อและผลกระทบด้านอุปทานว่าจะยืดเยื้อเพียงใด แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้ก็คือเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นไปจนถึงปีหน้า นอกจากนี้ ตลาดแรงงานที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และค่าแรงที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนเงินเฟ้อให้สูงขึ้นเช่นกัน”

“ความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสที่เพิ่มขึ้น และการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน จะทำให้ประชาชนไม่ต้องการกลับเข้าทำงาน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ตลาดแรงงานชะลอตัวลง และเพิ่มปัญหาชะงักงันในห่วงโซ่อุปทาน” แถลงการณ์ระบุ

ขณะที่นางเยลเลนจะระบุเตือนว่าความล้มเหลวของสภาคองเกรสในการเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐจะกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจ ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ บ่งชี้ว่า ดัชนีราคาบ้านในสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวในเดือนก.ย. โดยดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 19.5% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี แต่ต่ำกว่าระดับ 19.8% ในเดือนส.ค. และเป็นครั้งแรกที่ราคาบ้านได้ชะลอตัวลงเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563