ปี 65 ทุเรียนสร้างเงินสะพัดในประเทศ 7 แสนล้านบาท

  • คาดส่งออกได้อีก 2 แสนล้านบาท แซงหน้าข้าว ยาง มัน
  • ม.หอการค้าไทยคาดอีก 5 ปี ทุเรียนไทยมีความเสี่ยงสูง
  • ถ้าจีนนำเข้าลด เพื่อนบ้านแย่งตลาด บริหารจัดการผลผลิตไม่ดี

นายอัทธ์ พิศาลวานิช  ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี64 เป็นต้นมา มูลค่าส่งออกทุเรียนของไทยสูงกว่ามูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ ทั้งข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง โดยทุเรียน มูลค่าอยู่ที่ 187,278 ล้านบาท ขณะที่ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง อยู่ที่ 100,477 ล้านบาท, 91,430 ล้านบาท และ 43,103 ล้านบาทตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีเงินสะพัดในประเทศในห่วงโซ่การผลิตทุเรียนทั้งระบบ ทั้งเกษตรกร ล้ง แรงงาน โลจิสติกส์ ค่าบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ สูงถึง 640,000 ล้านบาท ส่วนปี 65 คาดจะมีมูลค่าส่งออก 200,000 ล้านบาท  และมีเงินสะพัดในประเทศ 700,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% หรือ 60,000 ล้านบาท จากปี64

อย่างไรก็ตาม จากการที่ศูนย์ได้จัดทำดัชนีความเสี่ยงทุเรียนไทย (DURI) ครั้งแรกในโลก พบว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้า(ปี 65-69) ดัชนีมีค่าเท่ากับ 51, 54, 57, 55 และ 60 ตามลำดับ แสดงว่า ทุเรียนไทยมีความเสี่ยงสูง (ค่าดัชนีมากกว่า50 หมายถึง ความเสี่ยงสูง, เท่ากับ 50 หมายถึง ปกติ และน้อยกว่า 50 หมายถึง ความเสี่ยงน้อย)

โดยความเสี่ยงดังกล่าวมาจาก การเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกอย่างมหาศาลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หรือในปี 64 เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าจากปี 54  โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันออก ที่โค่นต้นยางพาราเพื่อปลูกทุเรียน ส่งผลให้ผลผลิตปี 69 ผลผลิตจะเพิ่มเป็น 2.9 ล้านตัน หากไม่สามารถบริหารจัดการได้ดี จะซ้ำรอยพืชชนิดอื่น ที่เกษตรกรแห่ปลูกมากจนผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ำ และประสบปัญหาขาดทุน

นอกจากนี้ ยังมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพิ่มพื้นที่การเพาะปลูก และมีผลผลิตเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะเข้ามาแย่งส่วนตลาดส่งออกของไทยได้ แม้คาดว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 69 ไทยจะยังครองแชมป์ส่งออกทุเรียนอันดับ 1 ของโลกด้วยปริมาณ 1.9 ล้านตัน แต่ส่วนแบ่งตลาดอาจลดลงเหลือ 76% จากปัจจุบันที่ 85% โดยมาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชาลาว จะมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นทั้งหมด

ขณะเดียวกัน หากความสัมพันธ์กับจีนมีปัญหา อาจทำให้จีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าทุเรียนอันดับ 1 ของไทย และนำเข้ากว่า90% ของการส่งออกทุเรียนไทยไปโลก ซึ่งปี 65 คาดนำเข้าราว 850,000-950,000 ตัน ลดการนำเข้าลงได้ และจะทำให้ราคาทุเรียนไทยลดลงทันที

“ความเสี่ยงทุเรียนไทย นอกจากมาจากปัจจัยหลักข้างต้นแล้ว ยังจะมาจากคุณภาพทุเรียนที่อ่อนหรือแก่เกินไป มีปัญหาทุเรียนประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาสวมสิทธิ์ทุเรียนไทยแล้วส่งออก ปัญหาการขนส่ง ขาดแคลนแรงงาน ตลาดถูกควบคุมโดยล้ง สภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้อต่อผลผลิต และโรคระบาด ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้ ทำให้คาดว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ทุเรียนไทยมีโอกาสพังได้ 30% จาก 100% หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายราว 37,000 ล้านบาท จากมูลค่าส่งออกปัจจุบันที่ราว 200,000 ล้านบาท”

อย่างไรก็ตาม หากต้องการให้ทุเรียนไทยยังคง “ปัง” ไทยต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน ควบคุมคุณภาพการส่งออกให้ดี ซึ่งจะช่วยทำให้จีน เพิ่มการนำเข้าจากไทยได้ ขณะเดียวกัน ไทยต้องมีแผนบริหารจัดการทุเรียนที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ