ปะทะเดือดวันที่สอง “อาเซอร์ไบจาน”ระบุทำลายทหารอาร์เมเนียไป 550 คน

  • อีกฝ่ายชี้ทำลายรถถัง 22 คัน รถหุ้มเกราะ 10 คัน
  • ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน
  • ในภูมิภาค “นากอร์โน-คาราบัค”

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้ากรณีการปะทะกันครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างประเทศอาร์เมเนีย และประเทศอาเซอร์ไบจานตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 จุดชนวนให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพในภูมิภาคคอเคซัสใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่วางท่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติออกสู่ตลาดโลก 

ล่าสุดการปะทะกันเมื่อวันจันทร์เป็นวันที่สอง โดยทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษซึ่งกันและกันในการกลับมาโจมตีอีกครั้งซึ่งมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคนเนื่องจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายทศวรรษ 

กระทรวงกลาโหมอาเซอร์ไบจันอ้างว่ากองกำลังอาร์เมเนียระดมยิงเมืองทาร์ทาร์ขณะที่เจ้าหน้าที่ของอาร์เมเนียกล่าวว่าการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปในชั่วข้ามคืนและอาร์เซอร์ไบจันกลับมา “ปฏิบัติการ” ในตอนเช้า

สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ รายงานอ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ทหารของอาเซอร์ไบจันกองทหารอาร์เมเนียกว่า 550 นายถูกทำลาย (รวมทั้งผู้บาดเจ็บ)

ขณะที่“อาร์เมเนีย” ระบุว่าว่าได้ทำลายรถถัง 22 คันและรถหุ้มเกราะ 10 คันในระหว่างที่กองทัพอาเซอร์ไบจานรุกเข้ามา

นับเป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนานในภูมิภาค “นากอร์โน-คาราบัค” ดินแดนกบฏที่นานาชาติยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของอาเซอร์ไบจาน แต่ในทางปฏิบัติ ภูมิภาคดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชนกลุ่มน้อยเชื้อสาย “อาร์เมเนีย” ดินแดนแห่งนี้แยกตัวออกจากอาเซอร์ไบจาน ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 จนทำให้เกิดการต่อสู้กันและมีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน และความขัดแย้งรุนแรงมาจนถึงปัจจุบัน

นับเป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ระหว่างสองประเทศดังกล่าว เริ่มปะทะ ต่อสู้กันอย่างดุเดือดอีกครั้งในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีรายงานว่า เฮลิคอปเตอร์หลายลำ ถูกยิงร่วง และรถถังหลายคันถูกทำลาย

ความขัดแย้งในบริเวณเทือกเขาคอเคซัส พื้นที่ประมาณ 4,400 ตารางกิโลเมตร ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขมานานกว่า 30 ปี ซึ่งทำให้เกิดการต่อสู้เรื้อรังมาตลอด ก่อนหน้านี้ การปะทะกันตามแนวพรมแดนในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย กระตุ้นให้เกิดการประท้วงใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีในกรุงบากู เมืองหลวงของอาเซอร์ไบจาน ซึ่งมีกระแสเสียงเรียกร้องให้ยึดคืนดินแดนแห่งนี้