ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ฉบับ ดร.วิรไท

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ วันนี้ ขอนำบางส่วนที่เป็นสาระสำคัญของการเสวนา “ฝ่าวิกฤตโควิด-19 พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมฐานราก ออกแบบอนาคตไทยที่ยั่งยืน” ที่จัดขึ้นโดย “กระทรวงมหาดไทย” เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา

โดยจะเป็นเนื้องหาบางส่วนที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าสนใจมาก ในการกล่าวของ ดร.วิรไท สันติประภพ กรรมการมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย จึงขอนำมาเล่าสู่แลกเปลี่ยประสบการณ์กัน เป็นอีกหนทางหนึ่งในการเตรียมความพร้อมของประเทศ ภาคเอกชน และประชาชนที่จะฟื้นฟูประเทศของเราหลังวิกฤตโควิด-19

“ประเทศไทยวันนี้ ต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมและปรับรูปแบบการทำงาน (transformation) อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างของภาครัฐ เพื่อรับมือกับความท้าทายหลายประการที่เกิดขึ้นจากวิกฤตโควิด-19” ดร.วิรไท กล่าว

และที่กล่าวเช่นนี้ เพราะตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ประเทศไทยและเศรษฐกิจไทยของเราก็ประสบปัญหาโครงสร้างหลายอย่างที่รุนแรงอยู่แล้ว ทั้งด้านผลิตภาพ (productivity) ที่อยู่ในระดับต่ำและเพิ่มขึ้นช้ากว่าประเทศอื่น โดยเฉพาะภาคการเกษตร และภาคบริการที่ส่วนใหญ่เป็นบริการแบบดั้งเดิม เช่น การท่องเที่ยว
ขณะที่ภาคแรงงานก็มีปัญหาสะสมเช่นกัน โดยแรงงานส่วนหนึ่งได้เคลื่อนย้ายจากภาคอุตสาหกรรมไปสู่ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ ส่งผลให้แรงงานมีรายได้ของแรงงานและผลิตภาพของเศรษฐกิจโดยรวมลดลง แม้ว่าตัวเลขอัตราการว่างงานในภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้ง การเกิดเทคโนโลยีดิสรัปชั่น (technology disruption) ยังกระทบต่อวิธีการทำงาน ของแรงงานทั่วไป รวมทั้งมีการนำหุ่นยนต์เครื่องจักรมาทำงานแทนคนมากขึ้น

ส่งผลให้เศรษฐกิจ และสังคมไทยเกิดความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ!!

ขณะเดียวกัน ดร.วิรไท ยังชี้ให้เห็นอีกปัจจัยที่สำคัญและเป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่ง คือ กฎเกณฑ์ ระเบียบการดำเนินงานของภาครัฐที่ล้าสมัย ไม่ทันต่อความท้าทายและบริบทปัจจุบัน ทำให้ไม่สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างคล่องตัว และไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของประชาชนและธุรกิจได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่เราต้องเร่งปรับโครงสร้างภาครัฐ โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมมาตั้งก่อนโควิด-19

“ปรากฏการณ์เหล่านี้ เมื่อถูกกระตุ้นให้รุนแรงขึ้นด้วยวิกฤติโควิด-19 จึงทำให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไปในรูปแบบตัว K กล่าวคือ ผู้ที่ร่ำรวยและมีทรัพยากรมากกว่าจะยิ่งมีโอกาสได้ประโยชน์สูงขึ้น ในขณะที่คนยากจน หรือคนตัวเล็กตัวน้อย จะเสียเปรียบ แข่งขันได้ยากขึ้น และจะยิ่งยากจนลง”

เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 คนวัยทำงานตกงานต้องออกจากเมืองใหญ่และเมืองอุตสาหกรรมกลับสู่ชนบทหลายล้านคน และมีแนวโน้มว่าคนเหล่านั้นจะไม่สามารถกลับมาทำงานในเมืองได้อีกเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง เพราะหลายอุตสาหกรรมมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่สูง และรูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จะใช้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาทดแทนแรงงานมากขึ้นแล้ว

การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อหาหนทางช่วยเหลือคนเหล่านี้ จึงเป็นโจทย์สำคัญของประเทศไทยขณะนี้ “เราจะทำอย่างไรให้คนในวัยทำงานนับล้านคนเหล่านี้สามารถมีอาชีพอยู่ในชนบทได้อย่างยั่งยืน คนวัยทำงานที่กลับบ้านจะสามารถสร้างความเข้มแข็ง และสร้างการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจและสังคมชนบทไปพร้อมกัน”
และหากทำสำเร็จ ยังจะช่วยแก้ปัญหาผลิตภาพต่ำในภาคการเกษตร แก้ปัญหาครอบครัวโหว่กลาง และสังคมชนบทที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ ตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม มีข้อดีของการคืนถิ่นของแรงงานในรอบนี้ คือ คนวัยทำงานที่กลับบ้านพอเข้าใจเรื่องการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลระดับหนึ่ง มีทักษะการทำงาน การติดต่อสื่อสาร การหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาท้องถิ่นได้ ถ้าช่วยกันสร้างโอกาส และพัฒนาทักษะที่เหมาะสม เขาจะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลง เป็น change agent ที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับชนบทไทยได้

และจุดที่สำคัญ และจะช่วยผลักดันให้การปฎิรูปโครงสร้างเหล่านี้ เกิดขึ้นได้จริงคือ การปฏิบัติงานของข้าราชการในพื้นที่เพื่อฝ่าวิกฤต โควิค-19 ไว้ ซึ่งดร.วิรไท ฝากแนวคิดไว้ 3 ข้อ

ข้อที่ 1 ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมมากกว่าเพียงการเยียวยาในช่วงสั้นๆ เพียงอย่างเดียว เพื่อรองรับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะมีมากขึ้น

ข้อที่ 2 การทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาจะต้องเน้นการทำงานในลักษณะล่างขึ้นบนให้มากขึ้น มากกว่าการกำหนดสูตรสำเร็จจากส่วนกลาง เพราะแต่ละพื้นที่มีปัญหาต่างกัน มีบริบทต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพยากร บุคคลากร สภาพพื้นที่ และการบริหารจัดการ

และข้อที่ 3 ที่สำคัญมาก คือ ต้องเน้นการสร้างงานในชนบทนับล้านตำแหน่ง ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาทักษะใหม่หรือ reskilling ให้ตอบโจทย์ของโลกใหม่
ทั้งนี้ เขามองว่า หน่วยงานภาครัฐอาจจะไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง แต่ควรจะเป็นทำงานประสานกันทั้ง ภาครัฐ ภาคการศึกษา ธุรกิจ ประชาสังคม และชุมชน ที่มีประสบการณ์ และความชำนาญเฉพาะด้านสูงกว่าหน่วยงานภาครัฐ

โดยหน่วยงานภาครัฐควรมีบทบาทเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และติดตามประเมินผล เพราะในระยะต่อไปยังจะมีประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอีกมากที่ต้องได้รับการแก้ไข

ยกตัวอย่าง การทำงานของมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ที่เข้าไปเติมเต็มช่องว่างในการประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐต่างๆ และระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับชุมชน โดยหนึ่งปีที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดวิกฤติโควิด-19 ได้จัดทำโครงการพิเศษเพื่อซ่อมแซมแหล่งน้ำขนาดเล็ก กว่า 650 โครงการใน 9 จังหวัดใช้เงินลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท หรือตกโครงการละประมาณ 4 แสนบาท สามารถจ้างแรงงานที่ตกงานกลับบ้านได้ประมาณ 1,000 คน

นอกจากนั้น แหล่งน้ำขนาดเล็กเหล่านี้ ยังสามารถเก็บกักน้ำได้มากกว่า 120 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือรวมกันแล้วมีขนาดใกล้เคียงกับความจุของเขื่อนกิ่วลม ส่งผลให้ดีต่อการเเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,400 ล้านบาท

“หลักการทำงานที่สำคัญคือ การให้ชาวบ้านแสดงความต้องการที่จะร่วมกันซ่อมแซมแหล่งน้ำเหล่านี้ โดยต้องอาสาลงแรงร่วมกัน ไม่มีการจ้างเหมาผู้รับเหมามาดำเนินโครงการ การที่เริ่มจากให้ชาวบ้านอาสาลงแรงร่วมกัน เป็นวิธีหนึ่งที่จะแสดงว่าโครงการเหล่านี้เป็นโครงการที่ชาวบ้านเห็นว่าจะมีประโยชน์อย่างแท้จริง เป็นโครงการที่มาจากความต้องการของชุมชน เป็นการกำหนดจากล่างขึ้นบน”

มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ เป็นเพียงสนับสนุนองค์ความรู้ และวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซม และประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐที่เป็นผู้ดูแลแหล่งน้ำเหล่านี้เพื่อให้ชาวบ้านเข้าซ่อมแซมได้ด้วยตัวเอง

ทั้งนี้ อดีตผู้ว่า ธปท.ได้ฝากข้อคิด เป็นคำถามสำคัญ 3 ข้อ ไว้กับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานภาครัฐ ให้ช่วยพิจารณาก่อนจะเริ่มทำโครงการใดๆ ซึ่งจะเป็น 3 คำถามที่จะช่วยตอบโจทย์การปฎิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนได้ในอนาคต

โดยข้อที่ 1.ให้ถามตัวเองก่อนว่า โครงการที่จะทำนี้ จะมีผลช่วยปรับโครงสร้างและสร้างความยั่งยืนในระยะยาวหรือไม่ จะตอบโจทย์ความท้าทายในอนาคตอย่างไร
2.หน่วยงานภาครัฐจำเป็นต้องเป็นคนลงมือทำโครงการเหล่านี้เอง หรือควรมีบทบาทสนับสนุนให้ภาคเอกชน ประชาสังคม ชุมชน หรือท้องถิ่นที่เก่งกว่า มีความชำนาญเฉพาะด้านมากกว่าเป็นคนลงมือทำ

และ 3.สามารถใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นกลไกในการดำเนินการหลักหรือไม่ เพราะในโลกปัจจุบัน ทุกเรื่องที่หน่วยงานภาครัฐคิดจะทำควรต้องให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลก่อน (digital first) เสมอ

“เนื่องจากโลกในอนาคตจะมีลักษณะ VUCA (Volatile – ผันผวน, Uncertain – ไม่แน่นอน, Complex – ซับซ้อน, Ambiguous – คลุมเครือ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และผลกระทบในแต่ละพื้นที่จะต่างกัน
หน่วยงานภาครัฐจึงต้องทำงานในลักษณะล่างขึ้นบนมากขึ้น ไปในทิศทางของ decentralization และต้องทบทวนการแบ่งบทบาทระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่นเพื่อให้สอดคล้องกับความท้าทายของอนาคต” ดร. วิรไท กล่าวทิ้งท้าย