ประธานาธิบดี ปูติน ประกาศ รัสเซียเป็นประเทศแรกที่คิดค้น วัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ตัวแรกของโลก

  • ปูติน”รับรองวัคซีนโควิดรายแรกของโลก

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ประกาศเม่ือต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กระทรวงสาธารณสุขของรัสเซียได้ให้การรับรองวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019(โควิด-19)ของสถาบันวิจัยกามาเลยาเป็นผู้คิดค้น และพัฒนาขึ้น หลังพบว่าวัคซีนที่ได้มีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ ทำให้รัสเซียเป็นประเทศแรกของโลกที่คิดค้นวัคซีนป้องกันไวรัสได้เป็นตัวแรกของโลกด้วย โดยประธานาธิปบดีปูติน ตั้งเป้าจะแจกวัค ซีนตัวนี้ให้ประชาชนชาวรัสเซียได้ภายในเดือน ม.ค.2564 ทั้งนี้ รัสเซีย มีผู้ติดเชื้อ 905,700 คน

  • สหรัฐยกเลิกคำเตือนเดินทางไปตปท.

กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ประกาศยกเลิกคำแนะนำการเดินทางระดับ 4 ซึ่งสั่งให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังต่างประเทศในช่วงที่โควิด-19 ระบาดตั้งแต่เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา แถลงการณ์ระบุว่า “จากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) กระทรวงจึงขอยกเลิกมาตรการเตือนภัยด้านสา ธารณสุขทั่วโลกระดับที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. นี้เป็นต้นไป” ทั้งนี้สหรัฐอาจกลับไปใช้ระบบแนะนำการเดินทางที่แบ่งเป็นระดับต่างๆตามแต่ละประเทศ อย่างไรก็ดี ในขณะนี้หลายประเทศยังคงไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน หรือ ยังคงใช้มาตรการจำกัดการเดินทางชาวอเมริกันอยู่ สหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดทั้งประเทศ 5.1 ล้านคนจากจำนวนผู้ติดเชื้อ 20.6 ล้านคน

  • จีนเผยส่งออกเดือนก.ค.พุ่ง 7.2%

สำนักงานศุลกากรจีน(GAC) รายงานว่า การส่งออกเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 7.2% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่การนำเข้าลดลง 1.4% โดยการส่งออกของจีนในเดือนก.ค.สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าการส่งออกจะลดลง 0.2% เมื่อเทียบรายปี หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่การนำเข้าลดลงสวนทางกับตัวเลขคาดการณ์ที่ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนมิ.ย.สำหรับยอดเกินดุลการค้าในเดือนก.ค.อยู่ที่ระดับ 62,330 ล้านเหรียญซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 42,000 ล้านเหรียญ และ สูงกว่ายอดเกินดุลการค้าในเดือนมิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 46,420 ล้านเหรียญ

  • ต่างชาติรุกซื้อหุ้น-บอนด์เกาหลีใต้

ธนาคารกลางเกาหลีใต้ เผยว่า นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้น และพันธบัตรของเกาหลีใต้ในเดือนก.ค.คิดเป็นมูลค่ารวม 4,390 ล้านเหรียญ จากที่คาดว่า ผลประกอบการของบริษัทเกาหลีใต้จะฟื้นตัวขึ้น เมื่อแยกประเภทพบว่า นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นเกาหลีใต้คิดเป็นมูลค่า 1,390 ล้านเหรียญหลังจากที่เทขายติดต่อกัน 5 เดือนก่อนหน้า และเข้าซื้อพันธบัตรของเกาหลีใต้มูลค่า 3,010 ล้านเหรียญ ทำสถิติเข้าซื้อติด ต่อกันเป็นเดือนที่ 7 ธนาคารกลางเกาหลีใต้ ยังระบุว่า ตลาดปริวรรตเงินตราของเกาหลีใต้มีความผันผวนน้อยลงในเดือน ก.ค.

โดยอัตราความผันผวนรายวันของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์/วอนเฉลี่ยอยู่ที่ 0.24% ในเดือนก.ค. ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับระดับ 0.52% ในเดือนมิ.ย. เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น หลังจากเกาหลีใต้ได้ขยายข้อตกลง Swap (ล่วงหน้า) ค่าเงินกับธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) มูลค่า 60,000 ล้านเหรียญ ทั้งสองประเทศได้ขยายข้อตก ลงการทำสว็อปค่าเงินออกไปอีก 6 เดือนจนถึงเดือนมี.ค.ปีหน้า ด้วยเป้าหมายที่จะลดความไม่แน่นอนในตลาดเงิน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

  • โอเปกคาดความต้องการน้ำมันลด

กลุ่มประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่(โอเปก)ได้ปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2563 ว่าจะลดลง 9.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน โอเปกคาดว่าความต้องการน้ำมันล่าสุดจะต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของเดือนที่แล้วอยู่ 100,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงในประเทศรายใหญ่ที่ไม่ ใช่สมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือ และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ(OECD) โอเปก เปิดเผยว่า ตลาดน้ำมันทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปนับตั้งแต่เดือนพ.ค.โดยเพิ่มขึ้น 3 เดือนติดต่อกันซึ่งส่วนใหญ่ได้แรงหนุนจากการตัด สินใจของโอเปก และประเทศนอกโอเปกที่ประกาศความร่วมมือที่จะปรับลดการผลิตน้ำมัน

ตลาดน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลก โดยเฉพาะจากจีน และการคาดการณ์ที่ว่าสต็อกน้ำมันจะลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่างไรก็ตามอุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2564 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไม่เปลี่ยน แปลงจากการคาดการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว สำหรับปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลกจะอยู่ที่ 97.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 64 ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวมาจากสมมติฐานที่ว่า ทั่วโลกจะสามารถควบคุมโรคโควิด-19 ได้แล้วเป็นส่วนใหญ่ และไม่ มีผลกระทบที่รุนแรงเพิ่มขึ้นต่อเศรษฐกิจโลก

  • รัฐบาลสหรัฐวอนศาลคว่ำคำฟ้องบ.เทคโนโลยี

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ไม่รับคำฟ้องของบริษัทเทคโนโลยีอย่างทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และกูเกิล ซึ่งได้ยื่นฟ้องเพื่อคัดค้านคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้ทบทวนกฎหมายที่เคยให้การคุ้ม ครองแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยรัฐบาลสหรัฐระบุในคำร้องต่อศาลว่า คำคัดค้านของบริษัทเทคโนโลยีกลุ่มนี้เป็น “ความเข้าใจผิดอย่างมาก” ทั้งนี้ เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา นายทรัมป์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำการทบทวนกฎ หมายที่เคยให้การคุ้มครองทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก และกูเกิล จากการต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่ถูกโพสต์โดยผู้ใช้งาน โดยนายทรัมป์มีแผนที่จะลงนามในคำสั่งพิเศษเพื่อควบคุมบริษัทด้านโซเชียลมีเดียให้เข้มงวดยิ่งขึ้น และหากแพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกสั่งปิดการใช้งาน

การที่นายทรัมป์ สั่งให้มีการทบทวนกฎหมายคุ้มครองโซเชียลมีเดียนั้น เนื่องจากเขาไม่พอใจกับการที่ทวิตเตอร์ได้ติดแถบข้อความเตือนเกี่ยวกับข่าวปลอมหรือ “เฟคนิวส์” ไว้ใต้ทวีตข้อความของเขาที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งทางไปรษณีย์ รายงานระบุว่า คำสั่งพิเศษดังกล่าว จะกำหนดให้คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐ (FCC)เสนอ และชี้แจงกฎระเบียบต่างๆ ภายใต้มาตรา 230 ของกฎหมาย “Communications Decency Act” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ช่วยให้แพลตฟอร์มออนไลนได้รับการยกเว้นจากพันธกรณีทางกฎหมายในกรณีที่ผู้ใช้งานโพสต์ข้อความต่างๆลงบนแพลตฟอร์ม ซึ่งการทบทวนกฎหมายนี้ อาจทำให้บริษัทด้านโซเชียลมีเดียเผชิญกับการดำเนินคดีมากขึ้น

  • แนวโน้มราคาทองคำพุ่ง 2,500 เหรียญ

นักวิเคราะห์หลายรายมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำ โดยนายฟิลลิป สเตียเบิล นักวิเคราะห์จาก บริษัทบลูไลน์ ฟิวเจอร์ส ในชิคาโก คาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะพุ่งขึ้นทำนิวไฮภายในสิ้นปีนี้ โดยอาจพุ่งแตะ 2,500 เหรียญ/ออนซ์ เนื่องจากราคาทองคำยังคงได้รับปัจจัยหนุนที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ให้คำมั่นว่าจะดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวจากผลกระทบโควิด-19 ด้านนายเจมส์ สตีล นักวิเคราะห์จากธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวว่า การที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับปัญหาต่างๆ ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากปัญหาการเมืองระหว่างประเทศนั้น ยังคงเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ ทองคำยังคงได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลาง และรัฐบาลทั่วโลกเดินหน้าใช้มาตรการกระตุ้นทั้งในด้านการเงินและการคลัง

นายลุคแมน โอตูนูกา นักวิเคราะห์จากบริษัท FXTM กล่าวว่า ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งมาก เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองอย่างคึกคัก นอกจากนี้ นายโอตูนูกากล่าวว่า การที่ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวที่เหนือระดับ 1,900 ดอลลาร์/ออนซ์ ถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงช่วงขาขึ้นของราคาทองคำในระยะกลาง

  • จีนเล็งถกสหรัฐกรณีแบน WeChat, TikTok

สื่อต่างประเทศรายงานว่า ผู้เจรจาของสหรัฐและจีนวางแผนที่จะหารือกันเกี่ยวกับความคืบหน้าของข้อตกลงการค้าเฟสแรกในเร็วๆ นี้ ขณะที่จีนจะขยายประเด็นการหารือกรณีที่สหรัฐสั่งแบนแอปพลิเคชันติ๊กต็อก (TikTok) และวีแชท (WeChat) ของจีนด้วย โดยการประชุมทางไกลดังกล่าว มีแนวโน้มเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดภายในสัปดาห์นี้ แม้ยังไม่ได้สรุปวันที่แน่นอนก็ตาม

ทั้งนี้นายแลร์รี คุดโลว์ หัวหน้าที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ปฏิเสธเกี่ยวกับความวิตกที่ว่า ข้อตกลงการค้าเฟสแรกจะประสบความล้มเหลว นายคุดโลว์กล่าวว่า จีนได้เพิ่มการซื้อสินค้าสหรัฐอย่างมาก ส่วน นายจ้าว ลิเจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ของจีนเปิดเผยในการแถลงข่าวที่กรุงปักกิ่งเมื่อวานนี้ว่าจุดยืนของจีนในข้อตกลงการค้าเฟสแรกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ส่วนประเด็น TikTok นั้น เขาระบุว่า TikTok เป็นเพียงแพลตฟอร์มที่ให้ความบันเทิงที่แบ่งปันกันระหว่างชาวอเมริกันและประชาชนทั่วโลก ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงแห่งชาติแต่อย่างใด แต่มีแนวโน้มจะถูกห้ามโฆษณาในสหรัฐด้วย ไม่เฉพาะการถูกแบนและถอดออกจากแอปสโตร์ด้วย