บล.กสิกรไทย เฟ้นหุ้นเด่น หลังประเมินสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” ใกล้ถึงจุดจบ

  • สงครามหนุนเงินดอลลาร์แข็งค่า กดดันบาทอ่อนค่า
  • ส่งผลดีต่อหุ้นส่งออกและหุ้นเทคโนโลยีที่จะเป็นแหล่งพักเงิน
  • ขณะที่หุ้นกลุ่ม Growth มีโอกาส Outperform

บล.กสิกรไทย ระบุว่า สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แม้จะยังมีการปะทะกัน แต่อีกฝั่งนึงการเจรจาเพื่อยุติและบรรลุสันติภาพยังมีอยู่ ปัจจุบันคือ รอบที่ 4 เป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อ ขณะที่ล่าสุดประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้หารือเรื่องนี้กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน

ฝ่ายวิจัยประเมินว่าการปะทะกันระหว่างรัสเซียกับยูเครนมีโอกาสใกล้ถึงจุดสูงสุดในการปะทะกัน (Indicator ที่ใช้ประกอบ คือค่าเงินรูเบิล/ดอลลาร์ทิศทางแข็งค่าต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าตลาดมองสงครามรัสเซียยูเครนทิศทางคลี่คลาย)

แต่อย่างไรก็ตามระยะกลางถึงยาว เชื่อว่านานาประเทศจะยังคงมาตรการคว่ำบาตร หรือ Sanction ต่อรัสเซียต่อไป คล้ายๆ กับ Trade war สหรัฐกับจีน หรือ อิหร่านที่ถูกคว่ำบาตร

โดยรวมภาวะสงครามที่ยืดเยื้อจะกระทบเศรษฐกิจโลกในปี 2565 เป็นต้นไปอาจชะลอตัว หรือ เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ซึ่งหมายความว่า GDP ต้องติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน

ฝ่ายวิจัยประเมินว่าเศรษฐกิจโลกและสหรัฐมีโอกาสเกิด Recession น้อย โดยให้น้ำหนักไปที่ยุโรปมากกว่าที่ GDP มีโอกาสหดตัว QoQ ในงวด 2Q-3Q/65 เนื่องจากเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามมากกว่าประเทศอื่นๆ เพราะมีการค้าและนำเข้าพลังงานจากรัสเซียในอัตราที่สูง

ภาวะที่ปัจจัยภายนอกมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และตลาดเริ่มกังวลภาวะ Recession ซึ่งสะท้อนผ่าน Treasury Yield Spread ที่ปรับตัวลดลง

คำแนะนำให้ติดตาม หากแนวโน้มยังเป็นขาลงต่อเนื่อง ยิ่งเข้าใกล้ 0 แนะนำทยอยลดน้ำหนักหุ้นในพอร์ต แต่อีกฝั่งนึงเมื่อโอกาสเกิด recession มากขึ้น จะทำให้ Fund Flow ไหลเข้าไปใน 1.) สกุลเงินดอลลาร์ หนุนเงินบาทอ่อนค่าบวกต่อหุ้นส่งออก แนะนำหุ้นส่งออก ASIAN, TU

2.) พันธบัตรเงินจะไหลเข้า จะทำให้ Bond Yields ปรับลง และหุ้นกลุ่ม Tech จะเป็นที่พักเงิน (ทั้งฝั่งสหรัฐและฮ่องกง)

ผลต่อตลาดหุ้นไทยประเมินระยะถัดไป SET Index มีโอกาส Underperform แต่หุ้นกลุ่ม Growth มีโอกาส Outperform โดยคำแนะนำลงทุน Trading ในช่วงนี้ คือ 1.) กลุ่ม Tech Consult อาทิ BBIK, BE8 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, SSP

ส่วนคำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อและถือ (BUY&HOLD) คือ กลุ่มการเงิน (THANI, TIDLOR, AEONTS, BAM) และกลุ่มเครื่องดื่ม (OSP) ส่วนกลุ่มที่แนะนำชะลอการลงทุน คือ กลุ่มธนาคาร, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มปิโตรเคมี

ประเมินกรอบ SET สัปดาห์หน้า (21-25 มี.ค.) ที่ 1,685-1,690 จุด

หุ้นแนะนำประจำสัปดาห์หน้า

MICRO (ราคาพื้นฐาน 11.20 บาท) คงเป้าหมายเพิ่มการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่เชิงรุก การมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับตัวแทนจำหน่ายเป็นจุดได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญ โดยผลกระทบจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นค่อนข้างจำกัด โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของ MICRO ตั้งราคาบวกจากต้นทุน โดยราคาหุ้นปัจจุบันเปิด Upside จากราคาเป้าหมายสูงราว 35%

ประเด็นเศรษฐกิจที่น่าติดตาม

-21 มี.ค. : ดุลการค้าของนิวซีแลนด์ เดือน ก.พ., ติดตามดัชนี PPI ของเยอรมันตลาดคาด 1.7%MoM จาก 2.2% ในเดือน ม.ค.

-22 มี.ค. : ราคาวัตถุดิบของแคนาดา เดือน ก.พ., ติดตามผลผลิตภาคก่อสร้างของยุโรปเดือน ม.ค.

-23 มี.ค. : ยอดส่งออกของไทย เดือน ก.พ.ตลาดคาด 19.6%YoY จาก 8% ในเดือน ม.ค. ,ติดตามอัตราเงินเฟ้อสิงคโปร์ ตลาดคาด 4.1%YoY จาก 4% ในเดือน ม.ค., ติดตามเงินเฟ้ออังกฤษ เดือน ก.พ. ติดตามความเชื่อมั่นผู้บริโภคของยุโรป เดือน มี.ค. ตลาดคาด -12.0 จุดจาก -8.8 จุด

-24 มี.ค. : PMI ภาคการผลิตของฝรั่งเศสและเยอรมัน เดือน มี.ค. ตลาดคาด 53.1 จุดและ 53.3 จุด, ติดตามคำสั่งซื้อสินค้าคงทน เดือน ก.พ. ตลาดคาด -0.6% MoM จาก 1.6%, ติดตาม ติดตาม PMI ภาคการผลิตของสหรัฐ เดือน มี.ค. ตลาดคาด 56 จุด ชะลอจาก 57.3 จุด ในเดือน ก.พ.

-25 มี.ค. : เงินเฟ้อพื้นฐานของญี่ปุ่น เดือน มี.ค. ตลาดคาด 0.4% MoM จาก 0.5%, ติดตามยอดค้าปลีกของอังกฤษ เดือน ก.พ. ตลาดคาด 1% MoM จาก 1.9% ในเดือน ม.ค.