บลจ.กสิกรไทย มอง SSF-RMF ใหม่ เป็นทางเลือกของคนรุ่นใหม่ ช่วยกระตุ้นการลงทุนเพื่อวัยเกษียณ

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ทางรัฐบาลพยายามที่จะให้คนตระหนักถึงการออมเพื่อการเกษียณมากขึ้น จึงขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากเดิม 15 % เป็น 30% และปรับให้การออมเพื่อการเกษียณมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยโครงสร้างใหม่ของกองทุน (Super Savings Fund) หรือ SSF ไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่อง แต่ต้องถือครบ 10 ปี ดังนั้นคนรุ่นใหม่หรือผู้ที่ไม่เคยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund) หรือ RMF อาจจะมีความสนใจมากขึ้น 

“การออมเพื่อการเกษียณของคนไทยยังอยู่ในระดับต่ำ และโครงสร้างของประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย อาจจะนำมาซึ่งความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในอนาคต การออมที่เพียงพอและการหาผลตอบแทนจากการออมผ่านการลงทุนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ  ซึ่งปัจจุบันการออมและการลงทุนอาจจะยังไม่มีประสิทธิผลที่เพียงพอและไม่ครอบคลุม กองทุน SSF จะเข้ามาช่วยในการขยายฐานให้เข้าถึงกลุ่มคนที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ตระหนักถึงการลงทุนในระยะยาว อีกทั้งกองทุนยังมีความยืดหยุ่นในแง่การลงทุนได้หลากหลายประเภทสินทรัพย์กว่า LTF เดิมที่เน้นลงทุนเฉพาะในหุ้นเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อนโยบายการลงทุนเปิดกว้างขึ้น ผู้ลงทุนอาจเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น การสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องของการลงทุนระยะยาวจึงยังเป็นโจทย์หลักที่ท้าทายของทุกฝ่าย” นายวศิน กล่าว

สำหรับขนาดของกองทุน LTF ทั้งอุตสาหกรรมปัจจุบันมีประมาณ 400,000 ล้านบาท ทั้งนี้การที่ไม่มีการต่ออายุโครงการออกไป คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลออกประมาณ 30,000 – 40,000 ล้านบาท และประเมินว่าจะมีเม็ดเงินจาก SSF เข้ามาทดแทนประมาณ 20,000 – 40,000 ล้านบาท 

“ในส่วนของ บลจ.กสิกรไทย มีความพร้อมในการจัดตั้งกองทุน SSF ให้สอดรับกับโครงสร้างใหม่ที่เปิดกว้างด้านนโยบายการลงทุนให้สามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์ทุกประเภท ทั้งตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ และกองทุนผสม ซึ่งบริษัทจะพิจารณาจัดตั้งกองทุน SSF ให้เหมาะกับผู้ลงทุนรุ่นใหม่ หรือผู้ลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาเรื่องการลงทุน เพื่อให้มีทางเลือกการลงทุนที่หลากหลาย และสามารถจัดพอร์ตเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม”