นักลงทุนกลับมาช้อนซื้อ ดัชนีดาวโจน์บวกกว่า 258 จุด

  • หุ้นแบงก์-พลังงานปรับตัวขึ้นดึงดัชนีตลาดเป็นบวก
  • รอท่าที-ผลกระทบหลังใกล้เส้นตายจีน -สหรัฐฯขึ้นภาษี
  • เริ่มชิน ภาวะ inverted yield curve ในตลาดพันธบัตรหลังเกิดขึ้นต่อเนื่อง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์วันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมาปิดที่ 26,036.10 จุด เพิ่มขึ้น 258.20 จุด หรือ +1.00% ขณะที่ดัชนี แนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 7,856.88 จุด เพิ่มขึ้น 29.94 จุด หรือ +0.38% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,887.94 จุด เพิ่มขึ้น 18.78 จุด หรือ +0.65%

โดยในช่วงแรกของการเปิดตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงก่อนที่จะเริ่มกลับมาเป็นบวกหลังผ่าน 1 ชั่วโมงแรก นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มธนาคารอย่างคึกคัก โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ดีดขึ้น 1.48% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 1.6% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส เพิ่มขึ้น 1% หุ้นซิตี้กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 1.1% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 1.44% หลังหุ้นกลุ่มนี้ร่วงลงแรงในช่วงที่ผ่านมา

หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้น 1.6% เมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ลดลงมากที่สุดในรอบ 5 สัปดาห์ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 0.7% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 0.8% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 6.1% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นมาราธอน ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 2.2% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 1.8% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 4% และหุ้นโคโนโคฟิลิปส์ ปรับตัวขึ้น 1.9%

อย่างไรก็ตาม แม้ทิฟฟานี แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทค้าเครื่องประดับหรูหราของสหรัฐ ขะเปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 1.12 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งแม้ว่าต่ำกว่าระดับ 1.17 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ตัวเลขดังกล่าวยังดีกว่าที่นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ ราคาพุ่งขึ้น 3.02%

หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ขยับขึ้น 0.25% หลังจากหนังสือพิมพ์นิกเกอิของญี่ปุ่นรายงานว่า อัลฟาเบท จะย้ายฐานการผลิตสมาร์ทโฟน Pixel ออกจากจีนไปยังเวียดนาม โดยจะเริ่มต้นในปีนี้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางค่าแรงที่พุ่งสูงขึ้นในจีน รวมทั้งแรงกดดันจากการที่สหรัฐประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีในการทำสงครามการค้ากับจีน

นักลงทุนจับผลกระทบจากการประกาศใช้มาตรการกีดกันทางการค้ารอบใหม่ โดยทั้งจีนและสหรัฐฯมีกำหนดปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันในครั้งแรกช่วงต้นเดือนหน้า โดยสหรัฐจะเรียกเก็บภาษี 15% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนประกาศเก็บภาษี 5-10% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในการเก็บภาษี 2 รอบ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย. และ 15 ธ.ค.รวมทั้งโอกาสในการเปิดการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย

ขณะเดียวกัน ความกัวงต่อการถดถอยของเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนยังจับตาตลาดพันธบัตรสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจากตลาดพันธบัตรยังคงเกิดภาวะ inverted yield curve หรือภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาวติดต่อกันหลายครั้ง