นักท่องเที่ยวจีนล็อตแรกเช่าเหมาลำแอร์เอเชียลงภูเก็ต 150 คน 8 ต.ค.นี้

  • 25 ต.ค.ชาวจีนจากกว่างโจวตามมาอีก 126 คน
  • 1 พ.ย.นักท่องเที่ยวสแกนดินีเวียมาด้วย 120 คน
  • นายกฯ ให้เตรียมแผนผ่อนคลายกักตัวเหลือ 6 ชั่วโมง

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมเป็นประธาน ได้เห็นชอบแนวทางการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาพำนักในประเทศไทยได้ในระยะยาวได้แบบจำกัดจำนวน จะต้องเป็นนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ หรือ Special Tourist VISA(STV) ตามที่กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยขั้นตอนต่อไปจะส่งเรื่องให้กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบในรายละเอียด ให้นายกรัฐมนตรี ลงนามต่อไปเป็นขั้นตอนสุดท้าย และออกประกาศกระทรวงมหาดไทยในการอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศได้ตามเงื่อนไขภายในวันที่ 1 ต.ค.นี้

สำหรับเที่ยวบินแรกที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยที่นำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ คือ วันที่ 8 ต.ค.2563 จะมีนักท่องเที่ยวจากเมืองกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน 150 คน เดินทางมากับสายการบินแอร์เอเชีย ในรูปแบบเช่าเหมาลำลงที่สนามบินภูเก็ต ขณะที่ในวันเดียวกันจะมีนักธุรกิจชาวจีน 7 คน นำไพรเวท เจ็ท หรือเครื่องบินส่วนตัวลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้น วันที่ 25 ต.ค.2563 มีนักท่องเที่ยวจีนจากเมืองกว่างโจว 126 คน มาโดยสายการบินไทยสไมล์ ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ และวันที่1 พ.ย.2563 มีนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย และเชงเก้น 120 คน โดยสายการบินไทย มาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งทั้งหมดนี้ประสานมาอย่างเป็นทางการแล้ว

ส่วนทางด้านความพร้อมของที่พักที่จะให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เดินทางมาเข้าพักเป็นสถานกักกันตัวทางเลือก(ALSQ) ในมีเพิ่มขึ้นในอีก 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ชลบุรี 1 แห่ง คือโรงแรมชลบุรี เบสท์ เบลล่า พัทยา จ.บุรีรัมย์ 1 แห่ง ได้แก่ โรงแรม อมารี บุรีรัมย์ ยูไนเต็ท ส่วนใน จ.ภูเก็ตมี 3 แห่ง ได้แก่ โรงแรมอนันตรา ไม้ขาว ภูเก็ต โรงแรมไตรศาลา ภูเก็ต โรงแรมอนันตรา ภูเก็ต สวีทส์ แอนด์ วิลล่า ส่วนโรงแรมที่รอการประกาศรับรองอีก 1 แห่งได้แก่โรงแรมภูเก็ต ดูสิต ลากูน่า อย่างไรก็ตาม เฉพาะในภูเก็ตจะมีห้องพักรองรับได้ถึง 4,000 – 5,000 ห้อง อยู่ระหว่างทยอยเข้าเป็นสถานกักกันตัวทางเลือก

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังสั่งการว่าให้ทำแนวทางหรือแผนผ่อนคลายการท่องเที่ยวต่อเนื่อง เพื่อเตรียมพร้อมนำมาใช้เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งรวมถึงการลดระยะเวลาในการกักตัวนักท่องเที่ยวไว้ให้เป็นไทม์ไลน์ที่ชัดเจนลดลงจาก 14 วัน เหลือ 7 วัน จนเหลือ 6 ชั่วโมง เฉพาะการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามมาตรฐานการตรวจซึ่งต้องใช้การตรวจยืนยันจาก2ระบบ และหากไม่มีเชื้อโควิด-19 ก็ให้เดินทางไปยังพื้นที่อื่นๆได้