ธปท.รอดูนโยบายรัฐบาลใหม่ ย้ำ!เศรษฐกิจฟื้นต้องถอนคันเร่งภาคการเงิน

  • พร้อมประสานนโยบายการเงิน
  • คลังเป็นแรงสนับสนุน
  • เงินเฟ้อไทยให้น้ำหนักเงินเฟ้อโลกสูงกว่า 60%

นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกรณีที่พรรคการเมืองหลายพรรคใช้นโยบายหาเสียงประชานิยม ว่า จะต้องไปดูในรายละเอียดของแต่ละนโยบาย หากเป็นการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ในส่วนของนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง ต้องประสานนโยบายกันต่อไป ในประเด็นนี้ นโยบายภาคการคลัง และภาคนโยบาย การเงินเมื่อเทียบช่วงการระบาดโควิด-19 เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องได้รับแรงสนับสนุนภาคการคลังและภาคการเงิน

แต่ระยะข้างหน้าเศรษฐกิจมีแนวโน้มเริ่มฟื้นตัวและยังมีแรงส่ง จึงเป็นเหตุผลให้ถอนคันเร่งภาคการเงิน ภาคการคลังก็ยกเลิกมาตรการดูแลในช่วงที่ผ่านมาแล้ว ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันสูงสุดแล้วหรือไม่นั้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มองเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า มองบริบทโลกเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ มีความไม่แน่นอนว่าจะอยู่ในระดับใด ซึ่งไม่กลับมาระดับก่อน โควิด-19 ได้เร็ว เงินเฟ้อไทยให้น้ำหนักเงินเฟ้อโลกสูงกว่า 60% ซึ่งเงินเฟ้อไทยจะค้างสูง เป็นเหตุผลที่ กนง.ถอน คันเร่ง ไม่ซ้ำเติมเศรษฐกิจร้อนแรง

“อัตราดอกเบี้ยนโยบายจุดสูงสุดดอกจะอยู่เท่าใด กรรมการไม่ได้ปักหมุดชัดเจน แต่ดูแนวโน้มอนาคตเมื่อข้อมูลใหม่เข้ามาก็อัพเดต เพื่อสะท้อนนโยบายการเงินว่ายังสอดคล้องกันอยู่หรือไม่ ตอนนี้ปักหมุดไม่ได้ว่าสูงสุดอยู่ที่เท่าไหร่ แต่ต้องรักษาความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ยังไม่ได้สะท้อนเข้ามาในเงินเฟ้อปัจจุบัน ที่ ผ่านมาอาจจะยังมีการอั้นกันของต้นทุน”

ดอกเบี้ยที่แท้จริงจากตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ดอกเบี้ยที่แท้จริงต่ำกว่าสมควร แต่การขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องก็ลดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำไปบ้างแล้ว และควรจะเป็นเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับบริบทเศรษฐกิจ ในช่วงเศรษฐกิจซบเซา ดอกเบี้ยจะติดลบก็ไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ขยายตัวอัตรา 3-4% ก็ไม่ควรเห็นอัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบ

ทั้งนี้ ธปท.ชี้แจงในการประชุม Monetary Policy Forum 1/2023 ต่อนักวิเคราะห์ว่า ที่ประชุม กนง. คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะขยายตัวได้ 3.6% ส่วนปี 2567 ขยายตัวได้ 3.8% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลง และเริ่มกลับเข้าสู่เป้าหมายไตรมาส 2/2566 โดยคาดว่าในปี 2566 อยู่ที่ 2.9% และปี 2567 อยู่ที่ 2.4% แต่เงินเฟ้อยังคงมีความเสี่ยงด้านสูง จากอุปสงค์เพิ่มขึ้นตามภาคการ ท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยว 28 ล้านคน ปี 2567 ที่ 35 ล้านคน และการส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้น