ธปท.ชี้การขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70% ของ GDP ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการคลัง

นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงว่า จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมเห็นชอบการขยายเพดานหนี้สาธารณะ เป็น 70% ของ GDP  จาก  60% ของ GDP  เพื่อเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง ซึ่ง ธปท.เห็นความจำเป็นในการปรับเพิ่มเพดานหนี้ดังกล่าว เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับการดำเนินนโยบายเพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า โดยประเมินว่าความเสี่ยงต่างๆ ยังต่ำ โดยการใช้จ่ายภาครัฐควรเน้นโครงการที่มีประสิทธิผลสูงและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ และต้องเร่งลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP กลับมาที่  60% ให้ได้ในระยะต่อไป

ทั้งนี้การขยายเพดานหนี้สาธารณะในครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลจะต้องกู้เงินเพื่อให้ถึงเพดานหนี้สาธารณะ แต่เป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินมาตรการให้กับภาครัฐ เนื่องจากมาตรการทางการคลังยังจำเป็นต่อเนื่องในการช่วยเสริมรายได้ของประชาชนที่ลดลงมาก เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว นอกจากนี้ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้าน ที่จะกู้เพิ่มเติมในปีนี้และปีหน้า เพื่อใช้เยียวยาและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับเศรษฐกิจที่ชะลอลง คาดว่าจะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงกว่า 60% ในปี 65 อยู่ก่อนแล้ว

ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังในการปรับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นครั้งนี้อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP ไปอยู่ที่  70% ไม่ถือว่าสูงเกินไป ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่  55.6% เทียบกับระดับปัจจุบันของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ประมาณ 120%  และกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาในแถบเอเชียที่ประมาณ 70 %

ขณะที่หนี้สาธารณะของไทยเกือบทั้งหมดเป็นหนี้ในประเทศ 98.2% และต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลไทยอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปีของไทย ณ วันที่ 20 ก.ย.64 อยู่ต่ำกว่า 1.8% ซึ่งต่ำสุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในอาเซียน โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับเกิน 3% และความเสี่ยงในการถูกปรับลด credit rating ของไทยอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากการประเมินความน่าเชื่อถือของแต่ละประเทศจะขึ้นกับประสิทธิผลของมาตรการในการพยุงและฟื้นฟูเศรษฐกิจ และความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ในระยะข้างหน้าเป็นสำคัญ ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าประเทศที่กำลังพัฒนาในแถบเอเชียที่มี credit rating ระดับเดียวกับไทย มีหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่สูงกว่าไทยเป็นส่วนใหญ่ เช่น อินเดียที่  87% และมาเลเซียที่  67%

นอกจากนี้ ธปท.ยังเห็นว่า ระบบการเงินมีสภาพคล่องเพียงพอรองรับการออกพันธบัตรรัฐบาลในอนาคต โดย ธปท.ได้ประสานกระทรวงการคลังในการบริหารหนี้สาธารณะอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การระดมทุนผ่านตลาดการเงินเป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ คือ การใช้จ่ายของภาครัฐจะต้องเน้นโครงการที่มีประสิทธิผลสูง อาทิ มาตรการที่รัฐช่วยออกค่าใช้จ่าย (co-pay) เช่น มาตรการคนละครึ่ง และมาตรการค้ำประกันสินเชื่อ รวมถึงมาตรการที่ช่วยพยุงการจ้างงาน โดยอาจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วม เพื่อให้ได้ผลในวงกว้าง ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการขยายตัวเศรษฐกิจ ขณะที่การเยียวยาต้องทำให้ตรงจุดเท่าที่จำเป็น และต้องมีกระบวนการใช้จ่ายที่โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ โดยระยะต่อไป ภาครัฐต้องมีแนวทางชัดเจนที่จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ปรับลดลง เพื่อรักษาวินัย รวมทั้งสร้างพื้นที่ทางการคลังเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต อาทิ การหารายได้เพิ่มเติมจากการสร้างฐานรายได้ใหม่ การควบคุมสัดส่วนของรายจ่ายประจำ และการเพิ่มสัดส่วนของรายจ่ายลงทุน เพื่อปรับโครงสร้างและยกศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว

ด้านนายอนุสรณ์ แสงธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า การขยายเพดานหนี้สาธารณะ จาก 60% เพิ่มเป็น  70% ของ GDP เนื่องจากยอดหนี้ของไทยทะลุเพดานไปแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจทรุดตัวระยะยาว รายได้รัฐบาลจากภาษีหลายประเภทจัดเก็บได้น้อยลง การขยายเพดานกรอบความยั่งยืนทางการคลังเพิ่มขึ้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องดำเนินการ เหมือนกับหลายประเทศทั่วโลก ภาวะเศรษฐกิจมีปัญหาจากผลกระทบโควิด-19 ทำให้เพดานหนี้สาธารณะสูงขึ้น เหมือนกับหลายประเทศทั่วโลก

เมื่อรัฐบาลขยายกรอบเพดานกู้เอาไว้แล้ว ต้องนำไปลงทุนในระยะยาว ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ส่วนการจะนำเงินมากระตุ้นกำลังซื้อในระยะสั้น ประชาชนทั่วไปได้รับรู้แล้วว่า เป็นเงินกู้มาเพื่อใช้จ่าย ซึ่งเป็นภาษีของประชาชน ต้องหาเงินไปชดเชยหนี้เหมือนเดิม ซึ่งอาจไม่ได้ผลมากนัก ดังนั้น การขยายเพดานกู้เพิ่มเติม หากต้องกู้มาฟื้นฟูเศรษฐกิจ ต้องนำไปลงทุนในส่วนที่เป็นประโยชน์ในระยะยาว แนะรัฐบาลให้จัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เนื่องจากเป็นภาษีรายได้จากทรัพย์สิน รายย่อยส่วนใหญ่ยังได้รับการยกเว้นภาษี ท่ามกลางปัญหาโควิด จึงต้องเลือกหลายช่องทางในการจัดเก็บภาษีกลับมาชดเชย